พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติ คุ้มครองการดำเนินงานขององค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๐ ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๐” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “องค์การ” หมายความว่า องค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาว่าด้วยองค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๔ เพื่อคุ้มครองการดำเนินงานในประเทศไทยขององค์การให้บรรลุตามความมุ่งประสงค์ (๑) ให้ยอมรับนับถือว่าองค์การเป็นนิติบุคคล และให้ถือว่ามีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย (๒) ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย หรือเข้ามาในประเทศไทยเพื่อปฏิบัติหน้าที่ หรือในการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับองค์การ ให้องค์การ ทรัพย์สิน สินทรัพย์ และบรรณสารขององค์การบุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ ผู้แทนของรัฐภาคี และผู้เชี่ยวชาญขององค์การ ตลอดจนสมาชิกของครอบครัว ซึ่งประกอบเป็นส่วนของครัวเรือนของบุคคลดังกล่าว ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันตามที่ระบุไว้ในพิธีสารว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันขององค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยความตกลง ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ท้ายพระราชบัญญัตินี้ หรือที่รัฐบาลจะได้ทำความตกลงต่อไปกับองค์การ ทั้งนี้ ในกรณีที่บุคคลใน คณะเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญขององค์การเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยหรือผู้มีถิ่นที่อยู่เป็นการถาวรในประเทศไทย ให้ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันตามที่ระบุไว้ในพิธีสารดังกล่าวเฉพาะที่เป็นการกระทำตามหน้าที่อย่างเป็นทางการและภายในขอบเขตแห่งหน้าที่ของบุคคลนั้น มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
อนุสัญญาว่าด้วยองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก รัฐภาคีแห่งอนุสัญญฉบับนี้ ยอมรับ ความสำคัญของการแสวงประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศทางสันติดเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อความรุ่งเรืองร่วมกันในภูมิภาคนี้ ปรารถนา ที่จะกระชับความร่วมมือพหุภาคีระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในสาขาอวกาศ บนพื้นฐานแห่งการประยุกต์ใช้ประโยชน์โดยสันติจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ ตระหนักถึง ความเป็นจริงในความมหาศาลของทรัพยากรทางวิชาการ การเงิน และบุคคลที่จำเป็นต่อการพัฒนาเพื่อประยุกต์ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ มีถึงขนาดที่ควรจะรวมทรัพยากรต่าง ๆ ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเข้าด้วยกันเพื่อดำเนินกิจกรรมเหล่านั้น ยอมรับว่า อนุสัญญาฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อรัฐสมาชิกแห่งภูมิภาคในความร่วมมือพหุภาคีในด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาศรวมทั้งการประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างสันติโดยให้มีการนำทรัพยากรด้านเทคโนโลยี การเงินและบุคคลมารวมกัน เพื่อที่จะทำให้รัฐสมาชิกสามารถร่วมกันพัฒนาในส่วนของโครงการ/กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาขาต่าง ๆ เหล่านั้น เชื่อว่า การจัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก ที่เป็นอิสระเพื่อความร่วมมือพหุภาคีของภูมิภาคในการประยุกต์ใช้ประโยชน์โดยสันติจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศซึ่งอยู่บนพื้นฐานแห่งการใช้ประโยชน์อวกาศโดยสันติ หลักแห่งผลประโยชน์ร่วมกันและการเสริมซึ่งกันและกัน รวมทั้งการหารือและการพัฒนาด้วยความเทียมกัน จะปรับปรุงสมรรถนะของรัฐสมาชิกให้มีประสิทธิภาพในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศและการประยุกต์ใช้ประโยชน์โดยสันติ และจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อรัฐสมาชิกแต่ละรัฐมากขึ้น ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
บทที่ ๑ เรื่องทั่วไป ข้อ ๑ การจัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก ๑. องค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิกได้จัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญานี้ (ต่อไปในที่นี้เรียกว่า “องค์การ”) ๒. สำนักงานใหญ่ขององค์การ จะตั้งอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซึ่งต่อไปในที่นี้เรียกว่า “รัฐเจ้าภาพ”) ๓. ในการหารือกับรัฐบาลของรัฐเจ้าภาพ องค์การอาจจัดให้มีสำนักงานสาขาและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องภายในดินแดนของรัฐเจ้าภาพ ๔. ในการหารือกับรัฐสมาชิกอื่น องค์การอาจจัดให้มีสำนักงานสาขาและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องภายในดินแดนของรัฐสมาชิกอื่นได้
ข้อ ๒ คำนิยาม เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญาฉบับนี้ ก) “องค์การ” หมายถึง องค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (แอ๊ปสโค) ข) “รัฐบาลเจ้าภาพ” หมายถึง รัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งองค์การ ค) “รัฐสมาชิก” หมายถึง รัฐสมาชิกขององค์การ ง) “คณะมนตรี” หมายถึง หน่วยงานสูงสุดขององค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิกซึ่งประกอบด้วยผู้แทนที่ได้รับการมอบอำนาจอย่างเป็นทางการจากรัฐสมาชิก จ) “ประธาน” หมายถึง ประธานของคณะมนตรี ฉ) “สำนักงานเลขาธิการ” หมายถึง องค์กรบริหารขององค์การ ซึ่งสำนักงานตั้งอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ช) “เลขาธิการ” หมายถึง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารและเป็นตัวแทนทางกฎหมายขององค์การ
ข้อ ๓ สถานะทางกฎหมาย ให้องค์การเป็นองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล องค์การเป็นหน่วยงานอิสระที่มิได้แสวงหากำไรที่มีนิติฐานะระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์
ข้อ ๔ วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ขององค์การ มีดังนี้ ๑. ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาโครงการความร่วมมือด้านอวกาศของรัฐสมาชิก โดยกำหนดพื้นฐานแห่งความร่วมมือเพื่อการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านอวกาศอย่างสันติ ๒. ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในอันที่จะช่วยเหลือรัฐสมาชิกในด้านการวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ การประยุกต์ใช้ประโยชน์ และการฝึกอบรมโดยดำเนินการ และนำนโยบายการพัฒนากิจการอวกาศไปปฏิบัติ ๓. ส่งเสริมความร่วมมือ การพัฒนาร่วมกับและการแบ่งปันความสำเร็จ ระหว่างรัฐสมาชิกในด้านเทคโนโลยีอวกาศ และการประยุกต์ใช้ประโยชน์ เช่นเดียวกับการวิจัยวิทยาศาสตร์อวกาศโดยการใช้ประโยชน์จากการชักนำศักยภาพด้านความร่วมมือในภูมิภาค ๔. ขยายความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจและสถาบันที่เกี่ยวข้องของรัฐสมาชิก และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอวกาศและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นในเชิงอุตสาหกรรม ๕. มีส่วนช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากอวกาศโดยสันติ ในกิจกรรมความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเทคโนโลยีอวกาศและการประยุกต์ใช้ประโยชน์
ข้อ ๕ นโยบายด้านอุตสาหกรรม ๑. คณะมนตรีต้องจัดทำนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับการดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐสมาชิกอย่างคุ้มค่า ๒. ภาคอุตสาหกรรมของรัฐสมาชิกทั้งปวงจะต้องได้รับบุริมสิทธิ์/โอกาสมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำโครงการและกิจกรรมขององค์การไปปฏิบัติ ๓. ในระหว่างการนำโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การไปปฏิบัติ รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและผลผลิตจากเทคโนโลยีอวกาศที่เกี่ยวข้อง องค์การต้องทำให้แน่ใจว่ารัฐสมาชิกทั้งปวงจะมีส่วนร่วมอย่างเป็นธรรมตามสัดส่วนของเงินลงทุน ซึ่งอาจรวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยี ๔. แนวคิด “ผลตอบแทนที่ยุติธรรม” สำหรับรัฐสมาชิกต้องเป็นเสาหลักของนโยบายด้านอุตสาหกรรมขององค์การ องค์การต้องพยายามเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมของรัฐสมาชิก โดยการใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านอุตสาหกรรมที่มีอยู่ของรัฐสมาชิกในเบื้องต้น โดยการพัฒนา รวมทั้งการธำรงไว้ซึ่งเทคโนโลยีอวกาศและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดังกล่าว ตลอดจนการกระตุ้นให้มีการพัฒนาโครงสร้างทางอุตสาหกรรมตามความต้องการของตลาด ๕. นโยบายด้านอุตสาหกรรมต้องมีเป้าหมายหลัก ดังนี้
ก) การพัฒนาอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ให้แข่งขันได้โดยใช้การประกวดราคาแข่งขันอย่างเสรี ข) การกระจายเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องระหว่างรัฐสมาชิก เพื่อก่อให้เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะที่จำเป็นสำหรับโครงการและกิจกรรมขององค์การ ๖. ในการนำนโยบายด้านอุตสาหกรรมไปปฏิบัติ ประธานคณะมนตรีจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของคณะมนตรี บทที่ ๒ ขอบเขตของความร่วมมือและกิจกรรมด้านความร่วมมือ องค์การจะดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามสาขาแห่งความร่วมมือ ดังนี้ ๑. เทคโนโลยีอวกาศและโครงการการประยุกต์ใช้ประโยชน์ ๒. การสำรวจโลก การจัดการภัยพิบัติ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การสื่อสารผ่านดาวเทียม การนำทางและกำหนดพิกัดด้วยดาวเทียม ๓. การวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ ๔. การศึกษา การฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์/ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ๕. การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อการพัฒนาโครงการขององค์การ ตลอดจนการเผยแพร่ข้อสนเทศทางวิชาการ และข้อสนเทศอื่นที่เกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมขององค์การ ๖. โครงการความร่วมมืออื่น ๆ ที่รัฐสมาชิกได้ตกลงกัน ๑. กิจกรรมพื้นฐานขององค์การจะรวมถึง ก) การจัดทำแผนงานด้านกิจกรรม และพัฒนาอวกาศขององค์การ ข) การวิจัยขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศและการประยุกต์ใช้ ค) การขยายการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศที่ได้มีการพัฒนาถึงขั้นใช้งานได้แล้ว ง) การจัดกิจกรรมการศึกษา และฝึกอบรมเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศ ตลอดจนการประยุกต์ใช้ประโยชน์ จ) การบริหารงานและดูแลสำนักงานสาขา และสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนระบบเครือข่ายขององค์การ ฉ) ดำเนินกิจกรรมที่จำเป็นอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ๒. รัฐสมาชิกทั้งปวงต้องร่วมในกิจกรรมพื้นฐานดังกล่าวในวรรค ๑ ของข้อนี้ ๑. นอกเหนือจากกิจกรรมพื้นฐานที่ระบุในข้อ ๗ แล้ว องค์การจะต้องให้คำแนะนำและจัดให้มีโครงการด้านเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์อวกาศและการประยุกต์ใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมแก่รัฐสมาชิก สำหรับนำไปปฏิบัติร่วมกันโดยรัฐสมาชิกที่เลือกเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว ๒. โครงการเช่นว่านั้นจะดำเนินการตามหลักของผลตอบแทนจากการลงทุน รัฐสมาชิกจะได้รับผลตอบแทนจากกิจกรรมที่เลือกไว้ ตามสัดส่วนของการลงทุนที่รัฐสมาชิกเข้าร่วม ๑. องค์การจะเปิดรับสมาชิกทุกประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ๒. รัฐสมาชิกจะมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการออกเสียงลงคะแนน ๓. รัฐสมาชิกทั้งปวงจะมีสิทธิเข้าร่วมโครงการความร่วมมือและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการโดยองค์การ ๔. รัฐสมาชิกทั้งปวงจะต้องมีส่วนร่วมชำระค่าบำรุงสำหรับการดำเนินงานขององค์การ ๕. การเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ จะไม่มีผลกระทบต่อความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีของรัฐสมาชิกที่มีในปัจจุบันหรืออนาคต ๖. รัฐสมาชิกใด ๆ ของสหประชาชาติหรือองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านอวกาศ อาจได้รับสถานะเป็นผู้สังเกตการณ์โดยความเห็นชอบของคณะมนตรีอย่างเป็นเอกฉันท์ ผู้สังเกตการณ์จะไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของคณะมนตรี ๗. รัฐที่มิได้อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สามารถสมัครเป็นสมาชิกสมทบได้ คณะมนตรีอาจพิจารณาตัดสินโดยฉันทามติให้เข้าร่วมองค์การ คณะมนตรีอาจตัดสินโดยฉันทามติในเรื่องข้อกำหนดและเงื่อนไขในการเข้าเป็นสมาชิกร่วม (การชำระค่าบำรุง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมพื้นฐาน และกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ ขององค์การ ฯลฯ) สมาชิกสมทบจะไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในการประชุมของคณะมนตรี บทที่ ๔ องค์กรที่ปฏิบัติหน้าที่ ๑. องค์กรขององค์การ ประกอบด้วย ก) คณะมนตรี ที่จะมีประธานมนตรีเป็นหัวหน้า และ ข) สำนักงานเลขาธิการ ที่จะมีเลขาธิการเป็นหัวหน้าคณะ ๒. องค์การ สามารถจัดตั้งสถาบันย่อยขึ้นได้ตามที่เห็นว่าจำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานและการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ บทที่ ๕ คณะมนตรีขององค์การ ๑. คณะมนตรีจะเป็นหน่วยงานสูงสุดที่มีอำนาจตัดสินใจขององค์การ ๒. คณะมนตรีจะต้องประกอบด้วยรัฐมนตรีหรือผู้แทนระดับกระทรวงของหน่วยงานด้านอวกาศแห่งชาติของรัฐสมาชิก รัฐสมาชิกแต่ละรัฐจะต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีหรือผู้แทนระดับกระทรวงหนึ่งท่านเพื่อการเป็นตัวแทนในคณะมนตรี ๓. คณะมนตรีจะต้องเลือกประธานหนึ่งคนและรองประธานสองคน โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่งสองปี คณะมนตรีจะต้อง ก) กำหนดและให้ความเห็นชอบต่อนโยบาย ตลอดจนกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมาย ที่องค์การต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ ข) ให้ความเห็นชอบต่อการภาคยานุวัติ การตัดและการสิ้นสุดของสมาชิกภาพ และทำคำวินิจฉัยในเรื่องการรับเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์และสมาชิกสมทบ ค) รับเอาและให้ความเห็นชอบต่อกฎข้อบังคับในการประชุมของตน ง) รับเอาและให้ความเห็นชอบต่อรายงานประจำปีและแผนการดำเนินงานขององค์การ จ) รับเอาและให้ความเห็นชอบต่อโครงการความร่วมมือและงบประมาณของโครงการ ฉ) รับเอาและให้ความเห็นชอบต่ออัตราค่าบำรุงของรัฐสมาชิกและ และงบประมาณประจำปีขององค์การ ช) ให้ความเห็นชอบต่อแผนงบประมาณห้าปีตามระดับปัจจุบันของทรัพยากรทางการเงิน และโดยกำหนดทรัพยากรทางการเงินที่จัดสรรให้องค์การ สำหรับช่วงเวลาห้าปีถัดไป ซ) ให้ความเห็นชอบต่อรายงานค่าใช้จ่ายประจำปีและงบการเงินขององค์การ ฌ) ให้ความเห็นชอบต่อบทบัญญัติในเรื่องการบริหารจัดการอื่น ๆ ทั้งหมดขององค์การ ญ) ให้ความเห็นชอบและจัดพิมพ์รายงานดุลประจำปีขององค์การ ที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีแล้ว ฎ) แต่งตั้งเลขาธิการและให้ความเห็นชอบต่อการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่อื่น ๆ โดยคณะมนตรี การแต่งตั้งเลขาธิการอาจถูกเลื่อนออกไปเมื่อไรก็ได้เป็นเวลาหกเดือน ในกรณีเช่นนั้น ให้คณะมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมเป็นผู้รักษาการแทนเลขาธิการสำหรับช่วงเวลานั้น ซึ่งจะรับผิดชอบต่อการปฏิบัติภารกิจโดยให้มีอำนาจและความรับผิดชอบตามที่คณะมนตรีจะกำหนดสำหรับบุคคลผู้นั้น ฏ) ตัดสินใจให้ก่อตั้งสถาบันและสำนักงานสาขา และให้ความเห็นชอบต่อโครงสร้างของหน่วยงานเหล่านั้นตลอดจนของสำนักงานเลขาธิการและอัตรากำลังของพนักงานของหน่วยงานนั้น ๆ ฐ) แต่งตั้งเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่จะทำให้การประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิผล ฑ) ตีความอนุสัญญาฉบับนี้ หากได้รับการร้องขอจากรัฐสมาชิกใด ๆ ๑. คณะมนตรีจะประชุมตามที่และเมื่อจำเป็น แต่อย่างน้อยที่สุดปีละหนึ่งครั้ง การประชุมจะจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ขององค์การ เว้นแต่คณะมนตรีจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ๒. จะต้องมีการเข้าร่วมประชุมของผู้แทนอย่างเป็นทางการจากรัฐสมาชิกส่วนใหญ่จำนวนสองในสามของทั้งหมด จึงจะครบองค์ประชุมสำหรับการประชุมของคณะมนตรี ๑. รัฐสมาชิกแต่ละรัฐในคณะมนตรีจะมีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนน ๒. เว้นแต่คณะมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์เป็นอย่างอื่น คณะมนตรีจะต้องใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้การตัดสินชี้ขาดในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปโดยฉันทามติ บทที่ ๖ สำนักงานเลขาธิการ องค์ประกอบของสำนักงานเลขาธิการ ๑. สำนักงานเลขาธิการจะเป็นองค์กรบริหารขององค์การ ๒. สำนักงานเลขาธิการจะต้องประกอบด้วยเลขาธิการและบุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการ ๑. เลขาธิการจะเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารขององค์การ และเป็นผู้แทนโดยนิตินัยขององค์การเลขาธิการจะมีอำนาจหน้าที่โดยสมบูรณ์ในการบริหารสำนักงานเลขาธิการขององค์การ ๒. ให้คณะมนตรีแต่งตั้งเลขาธิการหนึ่งคนสำหรับดำรงตำแหน่งเป็นระยะเวลาห้าปีและอาจขยายวาระการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการได้อีกวาระหนึ่งเป็นเวลาห้าปี คณะมนตรีโดยมติเสียงข้างมากสามในสี่ของรัฐสมาชิกที่เข้าประชุมคณะมนตรี มีสิทธิถอดถอนเลขาธิการในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ๓. เลขาธิการจะต้องเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี โดยไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ความรับผิดชอบของเลขาธิการ ๑. เพื่อให้สอดคล้องกับคำสั่งที่ออกโดยคณะมนตรี เลขาธิการจะต้องรายงานต่อคณะมนตรีและจะต้องรับผิดชอบดังนี้ ก) การปฏิบัติตามและการอนุวัติการนโยบายทุกเรื่องขององค์การ ตามที่คณะมนตรีปรารถนา ข) การทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ค) การจัดการและการดำเนินงานขององค์การ ง) การร่างรายงานประจำปี แผนการดำเนินงาน และงบประมาณด้านการเงินขององค์การ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะมนตรี จ) จัดทำและอนุวัติการบทบัญญัติว่าด้วยการบริหารจัดการภายในของสำนักงานเลขาธิการ ฉ) เสนอข้อเสนอต่อคณะมนตรีเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนมาตรการต่าง ๆ ที่จัดวางขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ ช) การบรรจุและการบริหารเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภายในจากรัฐสมาชิกตามกฎข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานที่กำหนดโดยคณะมนตรี ซ) การแต่งตั้งนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่บุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ประจำในรูปของสัญญา เพื่อปฏิบัติการตามงานที่ได้รับมอบหมายจากองค์การ ฌ) เจรจาและลงนามทำความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยความเห็นชอบของคณะมนตรี ๒. ความรับผิดชอบของเลขาธิการและคณะบุคคลเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประจำหรือเจ้าหน้าที่ตามสัญญาก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวกับองค์การจะเป็นในระดับระหว่างประเทศเท่านั้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตน บุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ขอหรือรับคำสั่งจากรัฐบาลใด ๆ หรือจากองค์กรใด ๆ นอกองค์การ รัฐสมาชิกแต่ละรัฐจะต้องเคารพความเป็นสากลของความรับผิดชอบของเลขาธิการและบุคคลในคณะเจ้าหน้าที่ และจะต้องไม่ใช้อิทธิพลใด ๆ ในลักษณะหรือรูปแบบใด ๆ ต่อบุคคลเหล่านั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับองค์การ ๑. กองทุนสำหรับองค์การ จะจัดหาจากเงินค่าบำรุงของรัฐสมาชิก เงินให้เปล่าตามความสมัครใจของรัฐเจ้าภาพและรัฐสมาชิกอื่น ๆ เงินบริจาคและเงินอุดหนุนที่ได้รับจากองค์การอื่น ๆ และบริการต่าง ๆ ที่ให้แก่ผู้อื่น ๒. รัฐสมาชิกแต่ละรัฐจะต้องมีส่วนร่วมในงบประมาณขององค์การ ตามข้อตกลงด้านการเงินที่คณะมนตรีเป็นผู้กำหนด ๓. คณะมนตรีโดยฉันทามติจะต้องกำหนดอัตราเงินค่าบำรุงของรัฐสมาชิกแต่ละรัฐ อัตราดังกล่าวจะต้องมีการทบทวนทุก ๆ สามปี ๔. อัตราเงินค่าบำรุงจากรัฐสมาชิกนั้นจะคำนวณตามระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และค่าเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของรัฐสมาชิกต่อจำนวนประชากร ๕. รัฐสมาชิกแต่ละรัฐจะต้องจ่ายเงินค่าบำรุงขั้นต่ำให้แก่องค์การ ที่เรียกว่า “ขั้นต่ำสุด” ซึ่งกำหนดโดยการออกเสียงของที่ประชุมคณะมนตรีด้วยคะแนนเสียงข้างมากสองในสาม ๖. ไม่มีรัฐสมาชิกใดจะถูกเกณฑ์ให้จ่ายเงินค่าบำรุงเกินกว่าร้อยละ ๑๘ ของงบประมาณขององค์การที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว ๗. ภายใต้บังคับแห่งข้อกำหนดของคณะมนตรี เลขาธิการอาจยอมรับเงินบริจาค ของกำนัลหรือมรดกที่ให้แก่องค์การ ทั้งนี้สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่ก่อให้เกิดเงื่อนไขที่จัดต่อวัตถุประสงค์ขององค์การ ข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างรัฐสมาชิกสองรัฐหรือมากกว่านั้น หรือระหว่างรัฐสมาชิกใด ๆ กับองค์การในส่วนที่เกี่ยวกับการตีความหรือการใช้อนุสัญญาฉบับนี้จะมีข้อยุติโดยการปรึกษาหารือกันฉันท์มิตรในคณะมนตรี ในกรณีที่ไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ให้ยุติข้อพิพาทนั้นโดยอนุญาโตตุลาการตามกฎข้อบังคับเพิ่มเติมที่คณะมนตรีรับเอาโดยฉันทามติ เมื่อได้รับการร้องขอจากองค์การ รัฐสมาชิกจะต้องอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานที่มอบหมายให้องค์การ และที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์การ การแลกเปลี่ยนบุคลากรนี้จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของรัฐสมาชิกที่เกี่ยวกับการเข้า การพำนักอยู่และการออกจากดินแดนของรัฐสมาชิก ๑. องค์การ และรัฐสมาชิกจะต้องอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนข้อสนเทศทางวิทยาศาสตร์และทางวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีอวกาศ และการนำมาประยุกต์ใช้ รัฐสมาชิกมีสิทธิที่จะไม่มอบข้อสนเทศนั้นให้แก่องค์การได้ และในทางกลับกันหากเห็นว่าข้อสนเทศนั้นจะละเมิดความตกลงของตนที่มีต่อฝ่ายที่สาม หรือไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของตน ๒. ในการดำเนินกิจกรรมขององค์การ องค์การจะต้องทำให้มั่นใจว่าผลงานทางวิทยาศาสตร์อันเนื่องมาจากการวิจัยและ/หรือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และ/หรือทางเทคโนโลยีจะถูกนำออกเผยแพร่สู่สาธารณชน/ตีพิมพ์ ก็ต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกนำมาใช้โดยนักวิทยาศาสตร์/วิศวกรภายในรัฐสมาชิกที่รับผิดชอบในการค้นคว้าทดลองภายใต้การอุปถัมภ์ขององค์การ องค์การจะมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในผลงานและข้อมูลสรุปซึ่งถือเป็นทรัพย์สินขององค์การ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา ๑. สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ ข้อมูลทางวิชาการหรือเทคนิคตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหลาย อันเป็นผลจากแผนงานหรือกิจกรรมใด ๆ ซึ่งดำเนินการโดยองค์การ หรือโดยการใช้ทรัพยากรขององค์การ ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ขององค์การ ๒. คณะมนตรีจะกำหนดแนวทาง และกระบวนการที่รัฐสมาชิกจะใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ ข้อมูลทางวิชาการหรือเทคนิค ตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ ที่องค์การเป็นเจ้าของ ๓. คณะมนตรีจะกำหนดแนวทางและกระบวนการที่องค์การและรัฐสมาชิกจะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ ข้อมูลทางวิชาการและเทคนิค ตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ ที่รัฐสมาชิกเป็นเจ้าของ โดยอาศัยความตกลงและสัญญาที่เหมาะสม องค์การจะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การปกป้องเทคโนโลยีและการควบคุมการส่งออก ๑. องค์การจะไม่ยอมให้มีการเข้าถึงโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งข้อสนเทศที่ได้รับการคุ้มครองสิ่งต่าง ๆ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง/มาตรการต่าง ๆ เพื่อที่จะทำให้บรรลุความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนและบุคลากรของรัฐสมาชิกผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการสิ่งต่าง ๆ/ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการคุ้มครองเหล่านั้น และรวมถึงการใช้มาตรการที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่จะคุ้มครองและดูแลการจัดการสิ่งเหล่านั้น ตลอดจนจัดทำและอนุวัติการแผนด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีที่เฉพาะเจาะจง ๒. เพื่อที่จะนำเอากิจกรรมความร่วมมือ แผนงานและโครงการต่าง ๆ ขององค์การไปปฏิบัติรัฐสมาชิกต้องทำความตกลงในเรื่องมาตรการป้องกันเทคโนโลยี และในกรณีที่เฉพาะเจาะจงที่ให้ส่งเสริมการทำความตกลงเช่นนั้นโดยองค์การที่มีอำนาจหน้าที่และองค์การอื่น ๆ ที่กำหนดไว้เพื่อที่จะจัดทำแผนด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีที่เฉพาะเจาะจง ๓. รัฐสมาชิก ต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของประเทศนั้น ๆ และกฎหมายควบคุมการส่งออกที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการ ซึ่งรวมอยู่ในรายการควบคุมการส่งออก ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ๑. องค์การจะต้องร่วมมือกับทบวงการต่าง ๆ ในระบบของสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการว่าด้วยการใช้ประโยชน์จากอวกาศส่วนนอกในทางสันติ (คอปูโอส) ๒. องค์การมีสิทธิที่จะจัดตั้งหุ้นส่วนความร่วมมือกับรัฐต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่รัฐสมาชิกขององค์การและองค์การระหว่างประเทศและสถาบันอื่น ๆ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์การ โดยความเห็นชอบของคณะมนตรีที่เป็นเอกฉันท์ ซึ่งคณะมนตรีจะเป็นผู้กำหนดแนวทางและกระบวนการที่เหมาะสม ๑. เอกสิทธิ์และความคุ้มกันทั้งหลายที่องค์การ บุคคลของคณะเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญขององค์การ และผู้แทนของรัฐสมาชิกจะได้รับในดินแดนของรัฐสมาชิกอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์การ จะกำหนดขึ้นโดยความตกลงที่เฉพาะเจาะจงซึ่งกระทำระหว่างองค์การกับรัฐอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ๒. องค์การ บุคคลของคณะเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญขององค์การ และผู้แทนของรัฐสมาชิกจะได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในดินแดนของรัฐสมาชิกแต่ละรัฐเท่าที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การ หรือที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การ เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น เอกสิทธิ์ความคุ้มกันเหล่านั้นจะเป็นเช่นเดียวกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่คล้ายคลึงกันที่รัฐสมาชิกแต่ละรัฐให้แก่องค์การระหว่างประเทศในระดับรัฐบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ภายใต้บังคับของบทบัญญัติที่ว่าการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดตั้งขึ้นและ/หรือเป็นขององค์การ สำหรับโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ จะไม่ถูกกระทบกระเทือน องค์การจะจัดสิ่งอำนวยความสะดวกของตนให้รัฐสมาชิกได้ใช้ตามที่ร้องขอ คณะมนตรีจะจัดทำแนวทางและกระบวนการตลอดจนวิธีปฏิบัติซึ่งทำให้รัฐสมาชิกสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นได้ บทที่ ๑๐ ข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญา ๑. รัฐสมาชิกใดที่ประสงค์จะเสนอให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญาฉบับนี้ จะต้องแจ้งให้เลขาธิการทราบเป็นลายลักษณ์อักษร และเลขาธิการจะต้องแจ้งให้รัฐสมาชิกทราบถึงการขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างน้อยเป็นระยะเวลาสามเดือน ก่อนที่คณะมนตรีจะหารือกันในเรื่องข้อเสนอแก้ไขเปลี่ยนแปลง คณะมนตรีอาจเสนอข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญาให้รัฐสมาชิกก็ได้ ๒. การขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญาฉบับนี้จะต้องได้รับการรับเอาโดยคณะมนตรีโดยฉันทามติ ๓. หลังจากที่คณะมนตรีมีมติรับเอาข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญาฉบับนี้แล้ว เลขาธิการจะต้องแจ้งให้รัฐสมาชิกทุกรัฐทราบอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการรับเอาข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญานั้น โดยขอความเห็นชอบอย่างเป็นทางการจากรัฐสมาชิกตามขั้นตอนภายในของตน ๔. หลังจากที่ได้รับหนังสือแจ้งการยอมรับอย่างเป็นทางการจากรัฐสมาชิกทุกรัฐแล้ว เลขาธิการจะต้องเสนอต่อคณะมนตรีเพื่อทราบและส่งต่อให้รัฐบาลเจ้าภาพ รัฐบาลเจ้าภาพจะต้องแจ้งให้รัฐสมาชิกทุกรัฐทราบถึงวันที่มีผลใช้บังคับของข้อแก้ไขเปลี่ยนแปลงอนุสัญญาภายในสามสิบวันหลังจากวันที่ได้รับการแจ้งการยอมรับจากรัฐสมาชิกทุกรัฐ บทที่ ๑๑ การให้สัตยาบัน การมีผลใช้บังคับ ฯลฯ การลงนามและการให้สัตยาบัน ๑. อนุสัญญาฉบับนี้จะเปิดให้มีการลงนามจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ๒. อนุสัญญาฉบับนี้จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของการให้สัตยาบันหรือการยอมรับโดยรัฐที่อ้างถึงในวรรค ๑ ข้อ ๙ ของอนุสัญญานี้ ๓. สัตยาบันสารหรือสารยอมรับจะต้องมอบไว้กับรัฐบาลเจ้าภาพ ๑. อนุสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับต่อเมื่อรัฐในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติอย่างน้อยห้ารัฐได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้และได้มอบสัตยาบันสารหรือสารยอมรับไว้กับรัฐบาลเจ้าภาพแล้ว ๒. หลังจากที่อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว รัฐที่ลงนามและอยู่ในระหว่างรอการมอบสัตยาบันสารหรือสารยอมรับ อาจเข้าร่วมในการประชุมที่มิใช่เป็นการประชุมลับในองค์การได้โดยไม่มีสิทธิที่จะออกเสียงลงคะแนน ทั้งนี้ ภายใต้บังคับของแนวทางและกระบวนการที่คณะมนตรีเห็นชอบ ๑. หลังจากที่อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับหรือเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาลงนามแล้ว สุดแล้วแต่ว่าระยะเวลาใดเกิดขึ้นภายหลัง รัฐใดตามที่นิยามไว้ในวรรค ๑ ของข้อ ๙ อาจภาคยานุวัติอนุสัญญาฉบับนี้ได้โดยความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของคณะมนตรี ๒. รัฐที่ประสงค์จะภาคยานุวัติอนุสัญญาฉบับนี้จะต้องยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการต่อเลขาธิการซึ่งจะทำหน้าที่แจ้งให้รัฐสมาชิกทุกรัฐทราบถึงการร้องขอนั้นอย่างน้อยเป็นระยะเวลาสามเดือนก่อนที่จะเสนอต่อคณะมนตรีเพื่อให้วินิจฉัย ๓. ภาคยานุวัติสารจะต้องมอบไว้กับรัฐบาลเจ้าภาพ รัฐบาลเจ้าภาพ จะต้องแจ้งให้รัฐผู้ลงนามและรัฐที่ภาคยานุวัติทุกรัฐทราบถึง ก) วันที่ของการมอบสัตยาบันสาร สารยอมรับหรือภาคยานุวัติสารแต่ละฉบับ ข) วันที่ของการมีผลใช้บังคับของอนุสัญญาฉบับนี้และของการแก้ไขเปลี่ยนแปลงของอนุสัญญาฉบับนี้ ค) วันที่ของการถอนตัวของรัฐสมาชิกออกจากอนุสัญญาฉบับนี้ รัฐสมาชิกใดที่ไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาฉบับนี้จะถูกตัดสมาชิกภาพขององค์การตามการวินิจฉัยของคณะมนตรีโดยเสียงข้างมากสองในสาม ๑. หลังจากที่อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว รัฐสมาชิกใดที่มีความประสงค์จะถอนตัวออกจากอนุสัญญาฉบับนี้จะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้เลขาธิการทราบล่วงหน้าอย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งปี ๒. เลขาธิการจะต้องรีบแจ้งให้ประธานของคณะมนตรีและรัฐสมาชิกทั้งหมดทราบถึงคำขอถอนตัวของรัฐสมาชิกนั้น และประธานจะต้องเรียกประชุมคณะมนตรีภายใน ๙๐ วันเพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบกับคำขอนั้นหรือไม่ ๓. หลังจากการให้ความเห็นชอบอย่างเป็นทางการต่อการถอนตัวแล้ว รัฐสมาชิกที่เกี่ยวข้องจะยังคงผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีทางการเงินส่วนที่ถึงกำหนดของตนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการ/กิจกรรมที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว และค่าบำรุงสำหรับปีที่การถอนตัวได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นทางการ ๔. การถอนตัวเช่นนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามพันธกรณีตามสัญญาหรือตามความตกลงที่รัฐสมาชิกนั้นและองค์การ ได้ยอมรับไว้ก่อนการถอนตัวของรัฐสมาชิกนั้น ๕. รัฐที่ถอนตัวจากอนุสัญญาฉบับนี้จะคงสิทธิที่ได้รับไปแล้วอันเนื่องจากการเป็นสมาชิกขององค์การ จนถึงวันที่การถอนตัวจากสมาชิกภาพมีผลบังคับ ๑. องค์การจะถูกยุบเลิก ณ เวลาใดก็ได้โดยความตกลงโดยฉันทามติระหว่างรัฐสมาชิกทั้งหมดขององค์การ ๒. องค์การจะถูกยุบเลิกเช่นกัน หากสมาชิกภาพขององค์การ มีจำนวนรัฐสมาชิกเหลือน้อยกว่าสี่รัฐ ๓. ในกรณีที่มีการยุบเลิกองค์การ คณะมนตรีจะต้องแต่งตั้งหน่วยงานชำระบัญชีอย่างเป็นทางการหนึ่งหน่วยงานเพื่อเจรจากับรัฐสมาชิกซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่และสำนักงานต่าง ๆ ขององค์การ ณ เวลาที่มีการชำระบัญชี ที่ปรึกษากฎหมายทั้งหลายขององค์การจะยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าขั้นตอนการชำระบัญชีจะเสร็จสิ้น ๔. หลังจากการเสร็จสิ้นของขั้นตอนการยุบเลิกองค์การ ทรัพย์สินที่เหลือใด ๆ ก็ตามจะต้องได้รับการจัดสรรแบ่งปันให้กับบรรดารัฐสมาชิกตามสัดส่วนของค่าบำรุงที่รัฐเหล่านั้นได้ชำระแล้ว ในกรณีที่มีการขาดดุล รัฐสมาชิกเหล่านี้จะต้องรับผิดชอบตามสัดส่วนค่าบำรุงที่มีการประเมินกันไว้ในปีงบประมาณการเงินที่มีการชำระบัญชี ทันทีที่อนุสัญญาฉบับนี้มีผลใช้บังคับ รัฐบาลเจ้าภาพจะต้องจดทะเบียนอนุสัญญานั้นไว้กับสำนักเลขาธิการของสหประชาชาติตามข้อ ๑๐๒ ของกฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อเป็นพยานในการนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้อง ได้ลงนามอนุสัญญาฉบับนี้ ทำขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ยี่สิบแปด เดือนตุลาคม พุทธศักราชสองพันห้าร้อยสี่สิบแปด เป็นภาษาอังกฤษเป็นต้นฉบับฉบับเดียว ตัวบทของอนุสัญญาฉบับนี้ที่ได้ทำเป็นภาษาทางการภาษาอื่น ๆ ของรัฐสมาชิกขององค์การจะต้องได้รับการรับรองความถูกต้องโดยฉันทามติจากรัฐสมาชิกทั้งหมดขององค์การ ตัวบทอนุสัญญาเหล่านั้นจะต้องเก็บรักษาไว้ที่บรรณสารของรัฐบาลเจ้าภาพ ซึ่งจะต้องส่งสำเนาที่ได้รับการรับรองความถูกต้องให้กับรัฐที่ลงนามและรัฐที่ทำการภาคยานุวัติ ทุกรัฐ อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศมองโกเลีย อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐเปรู อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศไทย อนุสัญญาฉบับนี้เป็นไปเพื่อ และในนามของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐตรุกี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยองค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ และมีพันธกรณีที่จะต้องเข้าเป็นภาคีพิธีสารว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันขององค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยความตกลง ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ตามพิธีสารนี้ภาคีแต่ละประเทศต้องให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่องค์การดาวเทียมเคลื่อนที่ระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ขององค์การ และผู้แทนภาคีขององค์การ ตามที่ระบุไว้ในพิธีสาร ดังนั้น เพื่อให้การคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นการอนุวัติการให้เป็นไปตามข้อผูกพันในพิธีสารดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้องค์การมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
|