เวอร์ชันเต็ม: [-- แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา --]

งานราชการ แนวข้อสอบ รับราชการ ก.พ. อบต. ครูผู้ช่วย ตำรวจ ธกส -> ขอข้อสอบ-แจกข้อสอบ-สอบถามแนวข้อสอบที่กำลังเปิดสอบ -> แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา [สั่งพิมพ์] เข้าสู่ระบบ -> ลงทะเบียน -> ตอบกลับ -> ตั้งกระทู้

admin 2011-12-25 08:17

แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

 แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ (อัตนัย)

 

(1) ท่านมีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญา อย่างไรบ้างจงอธิบายมาให้เขาใจ

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

(2) ถ้าคุณเป็นนักวิชาการพาณิชย์ คุณจะให้ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย

อย่างไรถึงจะแข่งขันกับ AEC ได้

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

(3) จงอธิบาย ความแตกต่างระหว่างสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

(4) จงอธิบายเกี่ยวกับคำศัพท์ต่อไปนี้

1.  เครื่องหมายการค้า (Trademake)
2.
ความลับทางการค้า (Trade Secrets)
3.  ลิขสิทธิ์


Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

 (5) ประเทศไทยมีกฎหมายให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา 4 ฉบับ คือ

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

(6) จงอธิบายเกี่ยวกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ (Utility Patent)

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

(7)  จงอธิบายความหมายของคำว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย และแปลงทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทุน 

Normal 0 false false false EN-US X-NONE TH MicrosoftInternetExplorer4

(8)  จาก พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2543 ได้ความคุ้มครองเครื่องหมาย 4 ประเภท[1] คือ



 

จำหน่ายเอกสารแนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา
รวมทุกอย่างที่ออกข้อสอบ 

- การจัดการด้านทรัพย์สินทางปัญญา

- การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

- ความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา

- แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ _อัตนัย_


ส่งเป็นไฟล์ทางอีเมล์ สนใจสั่งซื้อมาที่  โทร 085-0127724 
สามารถนำไปปริ้นเพื่นอ่านได้เลย  ในราคาเพียงชุดละ   399 บาท 
กรุณาชำระค่าสินค้าและบริการ 
เลขที่บัญชี 491-2-00428-2 ธ.กสิกรไทย
 
 บิ๊กซีขอนแก่น 
decho pragay  ออมทรัพย์ 
โอนเงินแล้วแจ้งที่  decho.by@hotmail.com


admin 2011-12-25 08:42
   Normal  0          false  false  false    EN-US  X-NONE  TH                                             MicrosoftInternetExplorer4                                    
ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึงผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ เช่น เครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์เป็นต้น
ข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการค้า ภายใต้มาตรา 301 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศต่าง ๆรวมทั้งประเทศไทยซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาประเมินว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก มิฉะนั้นผู้ประกอบการภายในประเทศหรือนักลงทุนต่างชาติจะไม่กล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นอกจากการปราบปรามแล้วรัฐยังส่งเสริมผู้ประกอบการและผู้สนใจทั่วไปให้มีความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้คนไทยอยากคิดและอยากสร้างผลงานใหม่ ๆในสาขาอาชีพที่ตนเองถนัด และมีความชำนาญเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศ ในการแข่งขันทางการค้าเสรี ได้

ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมและลิขสิทธิ์

1. ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม
หมายถึงทรัพย์สินที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรม เช่นการประดิษฐ์คิดค้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะเป็นกระบวนการและรูปร่างสวยงามของตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องหมายการค้าชื่อและถิ่นที่อยู่ทางการค้า แหล่งกำเนิดสินค้าและการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1.1 สิทธิบัตร(Patent)
หมายถึงหนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด เจ้าของสิทธิบัตรมีสิทธิเด็ดขาดหรือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการแสงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิบัตรนั้น สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.1.1 สิทธิบัตรการประดิษฐ์ (Invention) คือความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะ องค์ประกอบ โครงสร้าง หรือกลไกของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การรักษา หรือการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์การขอรับสิทธิบัตรมีลักษณะหรือเงื่อนไข ดังนี้
  1)ต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ยังไม่มีใช้หรือแพร่หลายมาก่อนในประเทศหรือไม่เคยเปิดเผยสาระสำคัญในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์มาก่อน ทั้งในและนอกประเทศ
  2)ต้องเป็นการประดิษฐ์ที่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น คือ มีลักษณะที่เป็นการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคหรือไม่เป็นการประดิษฐ์ที่อาจทำได้ง่ายด้วยผู้ที่มีความรู้ในระดับธรรมดา
  3)ต้องเป็นการประดิษฐ์ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม หัตถกรรม เกษตรกรรมหรือพาณิชยกรรม
  4) มีอายุการคุ้มครอง 20 ปีนับแต่วันขอสิทธิบัตร
เมื่อวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2536 กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระ
ปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในการทรงประดิษฐ์ “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอยหรือกังหันน้ำชัยพัฒนา” นับเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ไทยและเป็นครั้งแรกของโลกที่พสกนิกรต่างสรรเสริญและถวายพระนามว่า “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย
กังหันน้ำชัยพัฒนาเป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นที่สะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพและ
พระปรีชาสามารถในการแก้ปัญหาจากสิ่งแวดล้อม พระองค์ทรงเป็นแบบฉบับให้กับนักประดิษฐ์ไทยได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ
1.1.2สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) คือความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการทำให้รูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์เกิดความสวยงามและแตกต่างไปจากเดิม เช่น รูปร่าง ลวดลาย สีของผลิตภัณฑ์ เป็นต้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะขอรับสิทธิบัตรมีลักษณะหรือเงื่อนไขดังนี้
1)ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรมหรือหัตถกรรม
2)เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใช้แพร่หลายในประเทศ หรือยังไม่ได้เปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
3)ไม่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว
4) มีอายุคุ้มครอง 10 ปีนับแต่วันขอรับสิทธิบัตร
1.1.3ผลิตภัณฑ์ออรถประโยชน์ (Utility Model) หรืออนุสิทธิบัตร (PettyPatent) คือความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมากหรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อยการประดิษฐ์ที่จะขอรับอนุสิทธิบัตรมีลักษณะหรือเงื่อนไข ดังนี้
1)ต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ยังไม่เคยมีการใช้หรือแพร่หลายก่อนวันยื่นขอรับอนุสิทธิบัตร
2) ยังไม่เคยมีการเปิดเผยสาระสำคัญของการประดิษฐ์นั้นก่อนวันยื่นขอทั้งในและต่างประเทศ
3)สามารถประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้

ความแตกต่างระหว่างสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร
  1)สิทธิบัตรการประดิษฐ์จะต้องมีการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของสิ่งที่มีมาก่อนหรือมีการประดิษฐ์ที่สูงขึ้นแต่อนุสิทธิบัตรเป็นการประดิษฐ์ที่มีเทคนิคไม่สูงนักอาจจะเป็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย
2)สิทธิบัตรต้องมีการตรวจสอบก่อนรับจดทะเบียน ส่วนอนุสิทธิบัตรใช้เวลาสั้นกว่า เนื่องจากไม่ต้องมีการตรวจสอบก่อนรับจดทะเบียน
3) อนุสิทธิบัตรมีอายุ6 ปี นับตั้งแต่วันขอรับอนุสิทธิบัตรและต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปี ตั้งแต่ะเริ่มต้นปีที่ 5และปีที่ 6 และสามารถต่อายุได้อีก 2 ครั้งครั้วละ 2 ปี รวม 10 ปี ส่วนสิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุ 20ปี นับตั้งแต่วันขอรับสิทธิบัตร

1.2  เครื่องหมายการค้า (Trademake)
เป็นทรัพย์สินทางปัญญาตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2543 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2543 ในมาตรา 4 ให้ความหมายคำว่า “เครื่องหมาย” ไว้ว่า “ภาพถ่ายภาพวด ภาพประดิษฐ์ ตรา ชื่อ คำ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข ลายมือชื่อ กลุ่มของสีรูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุ หรือสิ่งเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน” มี 4 ประเภทดังนี้
2.1 เครื่องหมายการค้า (Trademark)
2.2เครื่องหมายบริการ (Service Mark)
2.3เครื่องหมายร่วม (Colective Mark)
2.4เครื่องหมายรับรอง (Certification Mark)

1.3ความลับทางการค้า (Trade Secrets)
หมายถึงข้อมูลทางการค้าที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากข้อมูลนั้นเป็นความลับและมีการดำเนินการตามสมควรเพื่อรักษาข้อมูลนั้นไว้เป็นความลับ

2.ลิขสิทธิ์
หมายถึง งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนต์หรืองานอื่นใดในแผนกวิทยาศาสตร์ ลิขสิทธิ์ยังรวมถึง สิทธิข้างเคียง คือการนำเอางานด้านลิขสิทธิ์ออกแสดงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานฐานข้อมูล
ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินที่สามารถซื้อขาย หรือโอนสิทธิกันได้ ทั้งทางมรดกหรือโดยวิธีอื่น ๆ การโอนสิทธิควรจะทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือทำเป็นสัญญาให้ชัดเจน ซึ่งจะโอนสิทธิทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้ อายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์โดยทั่วไปจะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และจะคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปี นับจากผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต
                                                                                                                                                                                                                                                                                      

admin 2011-12-25 08:42
องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO)
สร้างเมื่อ 23-06-2007 โดย Benzcup

          องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ ที่มีพัฒนาการมาจากการทำความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าหรือแกตต์ (General Agreement on Tariffs and Trade: GATT) เมื่อปี พ.ศ. 2490  ซึ่งขณะนั้น ยังไม่มีสถานะเป็นสถาบันจนกระทั่งการเจรจาการค้ารอบอุรุกวัยสิ้นสุดลง และผลการเจรจาส่วนหนึ่งคือ การก่อตั้ง WTO ขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2538 มีสมาชิกเริ่มแรก 81 ประเทศ และมีที่ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
          ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก WTO เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2538 เป็นสมาชิกลำดับที่ 59 มีสถานะเป็นสมาชิกก่อตั้ง ขณะนี้ มีประเทศที่อยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก WTO ที่สำคัญ เช่น รัสเซีย เวียดนาม ลาว มูลค่าการค้าระหว่างประเทศสมาชิก WTO ด้วยกันคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 90 ของการค้าโลก และการขยายตัวของจำนวนสมาชิกจะมีผลให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบัน (ณ เดือนมกราคม 2549) WTO มีสมาชิกอย่างเป็นทางการทั้งสิ้น 149 ประเทศ สมาชิกล่าสุดประกอบด้วย เนปาล กัมพูชา และซาอุดิอารเบีย นอกจากนี้ ตองกา ได้เสร็จสิ้นกระบวนการเข้าสมัครเป็นสมาชิก WTO  แล้ว แต่ยังรอการภาคยานุวัติก่อนการเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 150 อย่างเป็นทางการ
วัตถุประสงค์ WTO

          WTO มีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป (progressive liberalization) ตามความพร้อมของประเทศสมาชิก และระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิก กฎกติกาต่างๆ ของ WTO ได้กำหนดให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษแก่ประเทศกำลังพัฒนา (Special and Differential Treatment: S&D) เพื่อให้สามารถเข้าร่วมในระบบการค้าพหุภาคีได้ WTO จึงเป็นองค์กรที่ไม่หยุดนิ่ง จะมีการเจรจาเพื่อพัฒนาและสร้างกฎกติกาใหม่ๆ เพื่อให้สามารถรองรับกับวิวัฒนาการของการค้าระหว่างประเทศและรูปแบบการค้าโลกที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

          การเป็นสมาชิกของ WTO ทำให้ประเทศสมาชิกมีสิทธิและพันธกรณี (Rights and Obligations) ที่จะต้องปฏิบัติตามภายใต้ความตกลงต่างๆ ของ WTO กฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศของ WTO นอกจากช่วยส่งเสริมให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรมแล้ว ยังสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้ง ผู้ค้าและผู้ลงทุน ผู้ผลิตและส่งออกสามารถคาดการณ์และวางแผนการค้าระหว่างประเทศล่วงหน้าได้

หน้าที่ของ WTO
          1. บริหารความตกลงและบันทึกความเข้าใจที่เป็นผลจากการเจรจาในกรอบของ GATT/WTO รวม 28 ฉบับ โดยผ่านคณะมนตรี (Council) และคณะกรรมการ (Committee) ต่างๆ ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามพันธกรณี
          2. เป็นเวทีเพื่อเจรจาลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างสมาชิกทั้งในรูปของมาตรการภาษีศุลกากรและมาตรการที่มิใช่ภาษีศุลกากร
          3. เป็นเวทีสำหรับแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสมาชิก และหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะมีการจัดตั้งคณะผู้พิจารณา (Panel) ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ข้อเสนอแนะ รวมทั้งมีกลไกยุติข้อพิพาทด้วย
          4. ติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศและจัดให้มีการทบทวนนโยบาย การค้าของสมาชิกอย่างสม่ำเสมอเพื่อเป็นการตรวจสอบให้เป็นไปในแนวทางการค้าเสรี
          5. ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในด้านข้อมูล ข้อแนะนำเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีได้อย่างเพียงพอตลอดจนทำการศึกษาประเด็นการค้าที่สำคัญๆ
          6. ประสานงานกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกเพื่อให้นโยบายเศรษฐกิจโลกสอดคล้องกันยิ่งขึ้น
ความตกลงที่สำคัญภายใต้ WTO

ความตกลงภายใต้องค์การการค้าโลกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1. การเปิดตลาด

1.1 การลดภาษีศุลกากรสินค้าอุตสาหกรรม (รวมสินค้าประมง)
          - ประเทศต่างๆ ลดภาษีลงเฉลี่ยร้อยละ 33 ภายใน 5 ปี (เริ่มมกราคม พ.ศ. 2538)
          - ห้ามเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ หากไม่มีการเก็บอยู่แล้ว และไม่ได้แจ้งไว้

1.2 สินค้าเกษตร  
          - ทุกประเทศยกเลิกมาตรการการห้ามนำเข้า โดยให้ปรับเปลี่ยนมาใช้มาตรการภาษีศุลกากรแทน
          - ลดภาษีลงเฉลี่ยร้อยละ 36 และ 24 โดยลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15 และ 10 ในแต่ละรายการสินค้าภายใน 5 ปี และ   10 ปี สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนาตามลำดับ
          - ลดการอุดหนุนสินค้าเกษตร ทั้งการอุดหนุนภายใน และการอุดหนุนส่งออก

1.3 สิ่งทอและเสื้อผ้า
            ให้มีการเปิดเสรีสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มแทนการใช้ข้อตกลงสินค้าสิ่งทอระหว่างประเทศ (Multi-Fibre Arrangement: MFA) โดย
          - ให้ยกเลิกการจำกัดการนำเข้าภายใต้ MFA ทั้งหมดภายใน 10 ปี
          - ให้ขยายโควตานำเข้ารายการที่ยังไม่ได้นำกลับเข้ามาอยู่ในแกตต์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538
  
2. กฎระเบียบการค้า

            มีการปรับปรุงและกำหนดกฎระเบียบการค้าที่สำคัญ เช่น

          - ความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อนุญาตให้ประเทศสมาชิกกำหนดระดับความปลอดภัยและการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า แต่จะต้องสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศเพื่อป้องกันมิให้แต่ละประเทศกำหนดมาตรฐานตามใจชอบ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการค้า

          - ความตกลงว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาด  กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนการทุ่มตลาดให้รัดกุมยิ่งขึ้นเพื่อให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติให้สอดคล้องกัน เป็นการลดโอกาสที่อาจมีประเทศผู้นำเข้าใช้มาตรการตอบโต้เพื่อกีดกันการค้าอย่างไม่เป็นธรรม

          - ความตกลงว่าด้วยการตอบโต้การอุดหนุน  กำหนดประเภทของการอุดหนุนไว้อย่างชัดเจนว่าการอุดหนุนประเภทใดเป็นการอุดหนุนที่ต้องห้าม ประเภทใดเป็นการอุดหนุนที่ทำได้และประเภทใดเป็นการอุดหนุนที่เมื่อทำแล้วอาจถูกมาตรการตอบโต้ นอกจากนั้น ยังได้กำหนดแนวปฏิบัติในการไต่สวนเพื่อการตอบโต้สินค้าเข้าที่ได้รับการอุดหนุนจากประเทศผู้ผลิตเพื่อให้แต่ละประเทศถือปฏิบัติ
3. เรื่องใหม่ ๆ
  
          มีการจัดทำข้อตกลงเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการในเรื่องที่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ของแกตต์กำกับมาก่อนหรือหากมีก็น้อยมาก ได้แก่

          - ทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPS) กำหนดขอบเขตและมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทที่สำคัญ ได้แก่ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์การออกแบบ วงจรรวม สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และความลับทางการค้า

          - การค้าบริการ  กำหนดกรอบความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ โดยมีหลักการสำคัญในทำนองเดียวกับแกตต์ เช่น หลักการไม่เลือกปฏิบัติ ความโปร่งใส การเปิดเสรีแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นต้น

          - มาตรการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการค้า (TRIMs)   กำหนดหลักการสำคัญคือ ทุกประเทศต้องยกเลิกมาตรการลงทุนที่มีผลเท่ากับการกีดกันการนำเข้าโดยประเทศพัฒนาแล้วต้องยกเลิกใน 2 ปี ประเทศกำลังพัฒนาใน 5 ปี มาตรการเหล่านั้น ได้แก่ มาตรการกำหนดให้ใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิตสินค้าหรือที่เรียกว่า local content requirement ไม่ว่าข้อกำหนดนี้จะเป็นข้อบังคับหรือเป็นเงื่อนไขต่อการที่ผู้ผลิตภายในจะได้รับสิทธิพิเศษใดๆ ก็ตาม เช่น สิทธิในข้อยกเว้นไม่เสียภาษีตามนโยบายส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น
โครงสร้างของ WTO

          องค์กรของ WTO ที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายตลอดจนควบคุมการดำเนินงานของสมาชิกในเรื่องต่างๆ เรียงตามลำดับความสำคัญ คือ ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference) คณะมนตรีใหญ่ (General Council) คณะมนตรี (Council) และคณะกรรมการต่างๆ (Committee) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของสมาชิก WTO โดยมีฝ่ายเลขานุการช่วยด้านการบริหารงานทั่วไป

          WTO กำหนดให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างน้อยทุกๆ 2 ปี เพื่อทบทวนปัญหาในการปฏิบัติตามข้อผูกพันของสมาชิก และวางแนวทางในการเปิดเสรีภายใต้ WTO ต่อไป

          การประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 – 13 ธันวาคม 2539 ณ ประเทศสิงคโปร์ (SMC)  รัฐมนตรีมีมติให้ WTO ศึกษาประเด็นทางการค้าใหม่ๆ (new issues) ได้แก่ การค้ากับการลงทุน  การค้ากับนโยบายการแข่งขัน ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การอำนวยความสะดวกทางการค้า รวมทั้งตกลงเปิดเสรีสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยลดภาษีสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศให้เหลือศูนย์ภายในปี 2543 – 2548 (สำหรับประเทศกำลังพัฒนา)

          การประชุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤษภาคม 2541 ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์    (GMC) รัฐมนตรีตกลงที่จะไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากการค้าผ่านการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า ปฏิญญาเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  
          การประชุมครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2542 ณ นครซีแอตเติล   สหรัฐอเมริกา ประเทศพัฒนาแล้วต้องการให้เปิดการเจรจารอบใหม่ที่รวมเรื่องต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่  การค้ากับการลงทุน นโยบายการแข่งขัน ความโปร่งใสในการจัดซื้อโดยรัฐ การค้ากับสิ่งแวดล้อม แรงงาน แต่การประชุมล้มเหลว โดยสมาชิกไม่สามารถตกลงกันได้
  
          การประชุมครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 5 – 13 พฤศจิกายน 2544 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์  ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้เปิดเจรจาการค้ารอบใหม่ โดยเน้นความสำคัญเรื่องการพัฒนา เรียกชื่อว่า Doha Development Agenda (การเจรจารอบโดฮา) และกำหนดให้การเจรจาสิ้นสุด ณ วันที่ 1 มกราคม 2548  (โดยมีข้อยกเว้นสำหรับการเจรจาเกี่ยวกับการปรับปรุง Dispute Settlement Understanding (DSU)  กำหนดให้สิ้นสุดภายในสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2546)  นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบเอกสารสุดท้ายที่สำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ (1) แถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) (2) ข้อตัดสินใจเรื่องการปฏิบัติตามพันธกรณี (Decision on Implementation-Related Issues and Concerns) และ (3) แถลงการณ์เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและบริการสาธารณสุข (Declaration on the TRIPS Agreement and Public Health)

          การประชุมครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 10 – 14 กันยายน 2546 ณ เมืองแคนคูน ประเทศเม็กซิโก ที่ประชุมหาข้อสรุปไม่ได้ โดยการเจรจาเรื่องเกษตรเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด/มีการเจรจาอย่างเข้มข้นตลอดช่วงการประชุม แต่การที่สมาชิกตกลงกันไม่ได้ในประเด็นเรื่อง Singapore Issues ว่า จะให้เริ่มการเจรจาและรวมอยู่ในการเจรจารอบโดฮานี้หรือไม่ (Single undertaking) กลับเป็นประเด็นที่เป็นต้นเหตุของความล้มเหลวในการประชุมครั้งนี้

          การประชุมครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 13 – 18 ธันวาคม 2548 ที่ประชุมสามารถให้การรับรองโดยฉันทามติต่อร่าง Ministerial Declaration  ที่ยืนยันเจตนารมณ์ของสมาชิกที่จะเจรจารอบโดฮาให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายภายในปี 2549 และกำหนดกรอบ / รูปแบบการเจรจารอบโดฮาที่กำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลผูกพันให้สมาชิกเปิดตลาด ลดภาษีศุลกากรนำเข้า/มาตรฐานการกีดกันการค้า และลดการอุดหนุนภาครัฐสำหรับการค้าเกษตรการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม (NAMA) การค้าบริการ การช่วยเหลือประเทศผู้ผลิตฝ้ายที่ยากจนและได้รับความเดือดร้อนจากการอุดหนุนของประเทศที่พัฒนาแล้ว การให้การปฏิบัติที่พิเศษและแตกต่าง (S&D) กับประเทศกำลังพัฒนา ทรัพย์สินทางปัญญา (TRIPS) การค้าและสิ่งแวดล้อม การอำนวยความสะดวกการค้า กฏเกณฑ์ทางการค้า การปรับปรุงกระบวนการระงับข้อพิพาท ความช่วยเหลือทางวิชาการ Aid for Trade เป็นต้น

admin 2011-12-25 08:42
เขตการค้าเสรี (Free trade area, FTA)
เขตการค้าเสรี หมายถึง การรวมกลุ่มเศรษฐกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่ม ที่ทำข้อตกลงลงให้เหลือน้อยที่สุด หรือเป็น 0% และใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม การทำเขตการค้าเสรีในอดีตมุ่งในด้านการเปิดเสรีด้านสินค้า (Goods) โดยการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นหลัก แต่เขตการค้าเสรีในระยะหลัง ๆ นั้น รวมไปถึงการเปิดเสรีด้านบริการ (Service) และการลงทุนด้วย
เขตการค้าเสรีที่สำคัญในปัจจุบัน คือ NAFTA และ AFTA และขณะนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ในระหว่างการเจรจาทำเขตการค้าเสรีในภูมิภาคอเมริกา (Free Trade Area of the Americas: FTAA) โดยตั้งเป้าหมายที่จะให้การเจรจาเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2548 รูปแบบเขตการค้าเสรีแบ่งได้ 2 ชนิดคือ
1.   สหภาพศุลกากร (Custom Union) หมายถึง การรวมตัวกันทางเศรษฐกิจในระดับที่ลึกและกว้างกว่าเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA ) เพราะมีลักษณะที่เป็นตลาดร่วม (Single Market) ซึ่งไม่มีกำแพงภาษีระหว่างประเทศสมาชิกในสหภาพศุลกากรเก็บภาษีศุลกากรอัตราเดียวกัน (Common Level) กับทุกประเทศนอกกลุ่ม สหภาพศุลกากรจึงทำให้ประเทศในกลุ่มมีสภาพเป็นเสมือนประเทศเดียวกันหรือตลาดเดียวกัน สหภาพศุลกากรที่สำคัญ คือ สหภาพยุโรป (European Union) (กำลังจะขยายสมาชิกภาพโดยรับประเทศในยุโรปตะวันออกบางประเทศเข้าร่วมด้วย) และ MERCOSUR
2.   พันธมิตรทางเศรษฐกิจ (Closer Economic Partnership: CEP) หมายถึง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีการพัฒนารูปแบบไปจากที่เคยมีมา โดยมีกรอบความร่วมมือที่กว้างขวางกว่าเขตการค้าเสรี อย่างไรก็ดี ความเข้าใจเกี่ยวกับ CEP หรือขอบเขตของ CEP อาจจะแตกต่างไป โดยทั่วไป CEP (หรือศัพท์อื่นที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน) ครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจทั้งในด้านการค้า สินค้า บริการและการลงทุน และแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
o   CEP ที่มีเขตการค้าเสรี เป็นหัวใจสำคัญ และรวมไปถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา การประสานนโยบายการแข่งขัน และการจัดซื้อโดยรัฐ เป็นต้น ดังกรณี CEP ระหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และความร่วมมือที่อาเซียนกำลังจะเจรจากับจีน ในกรณีดังกล่าวนี้ CEP จึงเป็นกรอบความร่วมมือทั้งในเชิงลึกและกว้างกว่าเขตการค้าเสรี โดยปกติ
o   CEP ที่ไม่มีการทำเขตการค้าเสรี แต่อาจมีการลดภาษีศุลกากร (ไม่ใช่การลดถึงขั้นต่ำสุด หรือเป็น 0 ดังเช่นกรณี FTA) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าด้วย รวมทั้งมีการร่วมมือกันในด้านอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น CEP ระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามทั้ง FTA และ Custom Union ต่างก็เป็นกระบวนการในการผนึกความร่วมมือ และหรือการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ (Economic Integration) และเป็นปัจจัยเร่งการเปิดเสรีที่ก้าวไปเร็วกว่าการเปิดเสรีตามข้อผูกพันของ WTO รวมทั้งเป็นการเตรียมการเปิดเสรีตามเป้าหมายภายใต้ปฏิญญาโบกอร์ของ APEC ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกที่พัฒนาแล้วเปิดเสรีอย่างเต็มที่ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และ ประเทศสมาชิกที่กำลังพัฒนาเปิดเสรีภายในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
ในที่นี้ การใช้คำว่า "เขตการค้าเสรี" นั้น หมายถึง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษในลักษณะที่เป็นการกล่าวอย่างกว้าง ๆ คลุมไปทั้ง FTA, Customs Union และ CEP ส่วนการใช้คำว่า FTA หรือCustom Union หรือCEPนั้น หมายถึง ความร่วมมือในรูปแบบนั้น ๆ เป็นกรณี ๆ ไป
อย่างไรก็ดี เขตการค้าเสรีนั้น ในทางปฏิบัติเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากในระดับหนึ่ง และหากต้องการให้ได้ผลจริงจัง ก็จะต้องพัฒนาไปสู่การเป็นสหภาพศุลกากรโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการหลบหนีภาษีในรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากประเทศนอกกลุ่มจะพยายามส่งสินค้าเข้าทางประเทศที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี ที่มีภาษีต่ำไปสู่ประเทศในเขตการค้าที่มีภาษีสูง ยกตัวอย่างโดยสมมติว่าประเทศไทยมีเขตการค้าเสรีกับประเทศมาเลเซีย แต่ประเทศไทยเก็บภาษีศุลกากรการนำเข้าสิ่งทอเพียง 10 % ในขณะที่มาเลเซียเก็บภาษีสินค้าเดียวกันในอัตรา 30 % พ่อค้าจีนก็จะพยายามนำเข้าสิ่งทอทางประเทศไทยเพื่อเสียภาษีเพียง 10 % แล้วนำไปแปรรูปเล็กน้อย เช่น บรรจุห่อใหม่เพื่อแปลงสภาพให้เป็นสินค้าประเทศไทยแล้ว นำไปขายในประเทศมาเลเซียอันจะทำให้เขาเลี่ยงภาษีได้ 20% กล่าวคือ เขตการค้าเสรีจะต้องใช้ทรัพยากรของภาครัฐเป็นจำนวนมาก เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้าที่รัดกุม ซึ่งทางออกที่ดีที่สุด คือ การแปลงภาษีศุลกากรของประเทศในเขตการค้าเสรีให้เท่ากันทั้งหมด หรือแปลงให้เป็นสหภาพศุลกากรโดยเร็วนั่นเอง
เป้าหมายของเขตการค้าเสรี
เขตการค้าเสรีสะท้อนแนวคิดสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า "ประโยชน์จากการค้าระหว่างประเทศจะเกิดขึ้นสูงสุดเมื่อประเทศต่างๆ ผลิตสินค้าที่ตนมีต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุดเมื่อเปรียบ เทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วนำสินค้าเหล่านั้นมาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน" ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ประโยชน์สูงสุดดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากยังมีการเก็บภาษีขาเข้าและมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ซึ่งส่งผลบิดเบือนราคาที่แท้จริงของสินค้า และทำให้การค้าขายไม่เป็นไปอย่างเสรีและมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ FTA ถือเป็นเครื่องมือทางการค้าสำคัญที่ประเทศต่างๆ สามารถใช้เพื่อขยายโอกาสในการค้า สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาให้แก่สินค้าของตน เนื่องจากสินค้าที่ผลิตใน FTA จะถูกเก็บภาษีขาเข้าในอัตราที่ต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิก FTA จึงทำให้สินค้าที่ผลิตภายในกลุ่มได้ เปรียบในด้านราคากว่าสินค้าจากประเทศนอกกลุ่ม แนวทางในการจัดทำเขตการค้าเสรี
การจัดทำเขตการค้าเสรีที่ดีควรมีรูปแบบ ดังต่อไปนี้
1.   ทำให้กรอบกว้าง (Comprehensive) เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (Win-Win) การเจรจาทำความตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีมีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทุกสาขา ทั้งการเปิดเสรีทางการค้า (สินค้าและบริการ) การลงทุน และการขยายความร่วมมือทั้งในสาขาที่ร่วมมือกันตลอดจนประสานแนวนโยบายและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นับว่าเป็นการทำข้อผูกพันเพิ่มเติมจากข้อผูกพันที่แต่ละประเทศมีอยู่แล้วในฐานะสมาชิก WTO จึงเป็นข้อผูกพันใน WTO (WTO plus)
2.   ทำให้สอดคล้องกับกฎ WTO โดยที่ WTO กำหนดเงื่อนไขให้มีการเปิดเสรีโดยคลุมการค้าสินค้า/บริการ ระหว่างประเทศที่เข้าร่วมทำเขตการค้าเสรีอย่างมากพอ (Substantial) และสร้างความโปร่งใสโดยแจ้งต่อ WTO ก่อนและหลังการทำความตกลงตั้งเขตการค้าเสรี รวมทั้งเปิดให้ประเทศสมาชิกตรวจสอบความตกลง
3.   แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทนกัน (Reciprocity) ในกรณีที่ คู่เจรจาเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ควรเรียกร้องความยืดหยุ่นเพื่อให้มีเวลานานกว่าในการปรับตัวหรือทำข้อผูกพันในระดับที่ต่ำกว่า
4.   กำหนดกลไกและมาตรการป้องกันผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน การเจรจาจัดตั้งเขตการค้าเสรีจะรวมถึงเรื่องกฎเกณฑ์และขั้นตอนในการใช้มาตรการป้องกันผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน เช่น การเก็บภาษี การต่อต้านการทุ่มตลาด (AD) ภาษีตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และมาตรการคุ้มกัน (Safeguards) ซึ่งใช้กฎเกณฑ์ของ WTO เป็นพื้นฐาน แต่ปรับปรุงให้ตรงตามความประสงค์ของประเทศที่ร่วมเจรจา หรือบางกรณีอาจมีการตกลงที่จะระงับการใช้มาตรการ AD,CVD ระหว่างกัน

นิชา 2012-01-02 15:49
ความรอบรู้ทั่วไปและเหตุการณ์ปัจจุบัน (นักวิชาการพาณิชย์)
1.   นครดูใบอยู่ในประเทศใด::: (สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ เมืองหลวงชื่ออบูดาบี)
2.   นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนปัจจุบัน::: (นายเดวิด คาเมรอน หัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมมีพรรคเสรีประชาธิปไตยเข้าร่วมเป็นรัฐบาล)
3.   ประเทศยุโรปที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกมากที่สุด ::: (อิตาลี 4 ครั้ง)
4.   ฟุตบอลโลกครั้งต่อไปจัดที่ใด::: (บราซิล ปี 2557 /2014)
5.   ประเทศกลุ่มเซป (CEP) ในอเมริกาใต้มีประเทศใด::: (ชิลี  เอกวาดอร์ และเปรู)
6.   กีฬาโอลิมปิกครั้งต่อไปจัดที่ ::: (อังกฤษ ปี 2555/2012)
7.   ยูเนสโกประเทศให้อดีตเมืองหลวงของลาวแห่งใดเป็นมรดกโลก::: (หลวงพระบาง)
8.   ประเทศที่ผลิตข้าวได้มากที่สุดในโลก ::: (จีน)
9.   ประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก::: (ไทย)
10.   ประเทศที่ผลิตข้าวได้มากที่สุดในกลุ่มอาเซียน::: (เวียดนาม)
11.   เลขาธิการอาเซียนคนปัจจุบัน::: (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีต รมว.ต่างประเทศไทย)
12.   เอกสารก่อตั้งกลุ่มอาเซียนเรียกว่า::: (ASEAN Declaration) หรือ  Bangkok Declaration)
13.   ประเทศที่มีเกาะมากที่สุด (อินโดนีเซีย 17,508 เกาะ/ฟิลิปปินส์ 7,107 เกาะ)
14.   นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสังกัดพรรค::: (นายนาโอโตะ คัง พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น : DPJ)
15.   "เงินยูโร" เป็นของใคร::: (สหภาพยุโรป)
16.   ประเทศในเอเชียตั้งธนาคารแห่งใดเป็นธนาคารกลาง::: (ธนาคารแห่งเอเชียหรือเอดีบี)
17.   พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคของสหรัฐ คือพรรคอะไร::: (เดโมแครตและริพับลิกัน)
18.   ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐมาจากพรรคใด ::: (เดโมแครต/นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44)
19.   สำนักงานใหญ่อาเซียนอยู่ที่::: (กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย)
20.   สมาชิกอาเซียนมีกี่ประเทศ::: (10 ประเทศ  กัมพูชาเข้าเป็นสมาชิกหลังสุด)
21.   ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่กำลังจะได้เป็นสมาชิก WTO ::: (ลาว)
22.   คนไทยที่เคยเป็นผู้อำนวยการ WTO คือ::: (นายศุภชัย พานิชภักดิ์)
23.   ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก UN  ปีใด::: (1946 หรือ 2489 เป็นลำดับที่ 54)
24.   ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก WTO เมื่อใด::: (28/12/2537 ลำดับที่ 59)
25.   ประเทศสมาชิกก่อตั้ง UN ในปีแรก (2488) มีกี่ประเทศ::: (51 ประเทศ)
26.   ประเทศสมาชิก UN มีกี่ประเทศ::: (192/สมาชิกล่าสุด Montenegro  2006)
27.   ประเทศสมาชิก WTO มีกี่ประเทศ::: (153 /ล่าสุด Ukraine 16 May 2008)
28.   คนไทยที่ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังก์ถัด (UNCTAD) :::  (นายศุภชัย พานิชภักดิ์)
29.   คนไทยที่ได้รับเลือกเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Human Rights Council) ::: (นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ
ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
30.   รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 2009::: (ประธานาธิบดีโอบาม่า จากผลงานที่ "ได้พยายามอย่างเด่นชัดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการทูตระหว่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประชาชน" โดยคณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลเน้นถึงความพยายามของนายโอบาม่าในการเข้าสู่โลกของชาวมุสลิมและความพยายามที่จะลดการผลิตนิวเคลียร์ที่กำลังแพร่ขยายไปทุกมุมของโลก)
31.   อันดับโลกผลิตทองคำมากที่สุด 3 ลำดับแรก::: (แอฟริกาใต้ รัสเซีย และออสเตรเลีย)
32.   คนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่นับถือนิกายใด (ซุนนี)
หมายเหตุ  นิกายต่างๆ ของศาสนาอิสลามมีดังนี้
๑) นิกายซุนนีหรือซุนนะห์ เคร่งครัดการปฏิบัติตาม คัมภีร์อัล-กุรอาน และซุนนะห์เท่านั้น และยอมรับผู้นำ 4 คนแรก ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดท่านศาสดา มุสลิมส่วนใหญ่ในโลกรวมทั้งประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทยนับถือนิกายนี้
๒) นิกายชีอะห์ ชีอะห์ แปลว่า พรรคพวก หมายถึง พรรคพวกท่านอาลีนั่นเอง นิกายนี้ถือว่าท่านอาลี บุตรเขยของศาสดามูฮัมมัดคนเดียวเท่านั้นเป็นผู้ที่ถูกต้อง ผู้ถือนิกายนี้ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอิหร่าน อิรัก เยเมน อินเดีย และประเทศในทวีปแอฟริกาด้านตะวันออก
๓) นิกายคอวาริจญ์ ถือว่าผู้จะเป็นคอลีฟะห์นั้น ต้องมาจากการเลือกตั้งเสรี นิกายนี้มีผู้นับถือมากในแอลจีเรีย โอมาน คาบสมุทรอาระเบียตอนใต้
๔) นิกายวาฮาบี ตั้งขึ้นกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถือว่า พระคัมภีร์อัล-กุรอานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่ยอมรับการตีความ ในเรื่องศาสนาของผู้ใดเคารพพระอัลลอฮ์องค์เดียว ไม่นับถือใครอื่น ไม่เชื่อว่าท่านศาสดามูฮัมมัด เป็นผู้แทนพระอัลลอฮ์ ไม่มีการฉลองวันประสูติของท่านศาสดา ห้ามของฟุ่มเฟือยทุกชนิด นิกายนี้เป็นกลุ่มเล็กๆ มีอยู่บ้างในอินเดีย และแอฟริกาตะวันออก
33.   อินโดจีนหมายถึงประเทศใด::: (กัมพูชา ลาว เวียดนาม)
34.   กลุ่มประเทศเขตการค้าเสรีอาเซียนมีชื่อย่อว่าอะไร::: (อาฟต้า AFTA)
35.   ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของโลกคือประเทศใด::: (จีน)
36.   ผู้อำนวยการองค์การค้าโลกคนปัจจุบัน ::: (นายปาสคัล เรมี่ Pascal Lamy ชาวฝรั่งเศส)
37.   เลขาธิการสหประชาชาติคนแรก ::: (นายทริก เวลี Tryg velie)
38.   เลขาธิการสหประชาชาติคนปัจจุบัน ::: (นายบัน คี มูน Bun Ki Moon ชาวเกาหลีใต้)
39.   แม่น้ำโขงไหลผ่านประเทศใด ::: (ผ่าน 6 ประเทศ คือ จีน พม่า ไทย ลาว เขมร และเวียดนาม)
40.   ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด ::: (สหรัฐ อันดับ 2 ญี่ปุ่น อันดับ 3 จีน)  
41.   เมืองหลวงแห่งใหม่ของพม่า ::: (เนย์ปิดอร์)
42.   ประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ::: (จีน คิวบา เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว) 

นิชา 2012-01-02 15:50
   Normal  0          false  false  false    EN-US  X-NONE  TH                                          MicrosoftInternetExplorer4                                    
ความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา

ทรัพย์สินทางปัญญาคือ"ทรัพย์สินที่ไม่ใช่วัตถุทางกายภาพ แต่เจ้าของมีสิทธิโดยชอบธรรม ที่จะให้, ให้เช่า, โอนมอบอำนาจ, หรือใช้เป็นสินจำนองได้"
คำว่า"ทรัพย์สินทางปัญญา" เป็นคำที่แปลมาจาก ภาษาอังกฤษคำว่า "intellectual property"ซึ่งทางทฤษฎีแยกเป็นงาน2 กลุ่มด้วยกันคือ ทรัพย์สินทางอุสาหกรรม (industrial property) กับเป็นลิขสิทธิ์และสิทธิข้าเคียง (copyright and neighbouring rights) ซึ่งทรพัย์สินทางอุตสาหกรรมได้แก่ เครื่องหมายการค้าชื่อทางการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดของสินค้า การออกแบบแผนผังภูมิของวงจรรวมความลับทางการค้า สิทธิบัตร ไม่ว่าจะเป็นสิทธบัตรการประดิษฐ์ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรืออนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์
ส่วนเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง จะเป็นงานทางด้านสุนทรียภาพงานหลักก็คืองานวรรณกรรมกับงานศิลปกรรม ลิขสิทธิ์ก็เหมือนทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่นนั่นคือเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง สิ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครองก็คือ สิทธิสิทธิหลักคือสิทธิที่จะทำซ้ำหรือทำสำเนา สิทธิในทรัพย์สินที่มีรูปร่างจะมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 เรื่อง ทรัพย์สิน วางหลักเกณฑ์ในการให้ความคุ้มครองไว้ แต่หลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่อาจที่จะนำมาใช้บังคับแก่ทรัพย์สินทางปัญญาได้ ทรัพย์สินทางปัญญาต้องเป็นไปตามกฎหมายเฉพาะ
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537มาตรา 4 คำว่า "ลิขสิทธ์" หมายความว่าสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นอันได้แก่ สิทธตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา15 คือสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำซ้ำหรือดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น และอนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิในลิขสิทธิ์

1.
ลิขสิทธิ์ (Copyright)
(
สิทธิในการเป็นเจ้าของความคิดที่คิดค้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียน)
ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญา(intellectualproperty) อย่างหนึ่ง ทรัพย์สินทางปัญญามีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากทรัพย์สินที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 อันได้แก่อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ กับสิทธิที่เกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่ไม่มีรูปร่าง กล่าวคือ เป็นสิทธิหวงกันของเจ้าของที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เป็นสิทธิที่จะห้ามไม่ให้ผู้อื่นนำงานของเจ้าของไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต อันมิใช่สิทธิในกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นสิทธิที่กฎหมายให้แก่ผู้สร้างสรรค์งานหรือผู้เป็นเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์เท่านั้น ฉะนั้นผู้ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในวัตถุมีรูปร่างจึงอาจจะไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็เป็นได้ เช่นนายสมซื้อหนสังสือหรือภาพเขียนมา นายสมก็มีเฉพาะกรรมสิทธ์ในหนังสือหรือภาพเขียนนั้นโดยนายสมมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายหนังสือ หรือภาพเขียนนั้นได้ ตลอดจนมีสิทธิให้เช่าติดตามและเอาคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และแม้ไม่พอใจนายสมจะทิ้ง เผาทำลายหนังสือหรือภาพเขียนนั้นก็ได้ แต่นายสมไม่มีสิทธิที่จะนำหนังสือนั้นไปพิมพ์ซ้ำแล้วขายต่อหรือนำภาพเขียนนั้นไปดัดแปลงเป็นบัตรอวยพร ส.ค.ส.สำหรับวันขึ้นปีใหม่แล้วผลิตออกจำหน่าย เพราะสิทธิดังกล่าวกฎหมายให้ไว้แก่ผู้สร้างสรรค์หรือผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม จิตรกรรมหรือศิลปกรรมเท่านั้น หากนายสมกระทำเช่นนั้นย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4076/2533 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองซื้อภาพพิพาทไปจากโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่เคยขายลิขสิทธิ์ในภาพพิพาทให้จำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองนำภาพที่ซื้อจากโจทก์ทั้งสองไปพิมพ์บัตรอวยพรปีใหม่จำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองถือว่าจำเลยทั้งสองละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สินจึงนำมาใช้บังคับแก่ลิขสิทธิ์ไม่ได้ ต้องนำกฎหมายลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะมาใช้บังคับ ฉะนั้น ลิขสิทธิ์จึงไม่อาจมีการครอบครองปรปักษ์ได้ซึ่งษลฎีกาเคยวินิจฉัยยืนยันหลักไว้ แม้จะเป็นการวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 แต่ก็ยังคงใช้เป็นบรรทัดฐานได้ในปัจจุบันคือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846/2534
เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์ขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทให้แก่ป.ต่อมา ป. ขายต่อให้จำเลยที่ 1 อีกทอดหนึ่ง แต่จำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการซื้อขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทระหว่าง ป. กับโจทก์เป็นหนังสือมาแสดงต่อศาลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช 2474 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นมาตรา 13แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าลิขสิทธิ์นั้นโอนได้ แต่การโอนสิทธิหรือใช้ประโยชน์เช่นนั้นไม่สมบูรณ์เว้นแต่จะได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อเจ้าของหรือตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจโดยชอบจากเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงฟังได้ว่าโจทก์ขายลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทให้ป. ไม่มีลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทที่จะขายให้จำเลยเพลงพิพาทยังเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์อยู่ เมื่อโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองละเมิดลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาท โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ในแผ่นเสียงที่ผลิตออกจำหน่ายก่อนจำเลยทั้งสองจะซื้อลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทจากป. ที่กระดาษกลางแผ่นเสียงมีข้อความระบุว่าเนื้อร้องและทำนองเป็นของผู้ใด ใครเป็นผู้ขับร้อง จำเลยทั้งสองจึงทราบดีว่าโจทก์เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องเพลงพิพาทจำเลยทั้งสองมิได้ซื้อลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทจาก ป.โดยสุจริตเพราะหากจำเลยทั้งสองสุจริตจริงก่อนซื้อจำเลยทั้งสองน่าจะให้ป. แสดงหลักฐานว่า ป.ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจากโจทก์แล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ขอให้ ป. แสดงหลักฐานดังกล่าวและจำเลยทั้งสองไม่มีหลักฐานการซื้อลิขสิทธิ์จากโจทก์มาแสดง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์แล้ว โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยทั้งสองละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2529 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2529จึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนด3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยอายุการครอบครองหรือการครอบครองปรปักษ์นั้น มีได้เฉพาะกับทรัพย์สินเพียง2 ประเภท คืออสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ซึ่งบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4ทรัพย์สิน มุ่งให้ความคุ้มครองในเรื่องกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสำคัญ ส่วนลิขสิทธิ์แม้จะเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง แต่เป็นทรัพย์สินอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ จนไม่อาจจัดเป็นทรัพย์สินในความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 ได้ กล่าวคือลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า "ลิขสิทธิ์""งาน" และ"ผู้สร้างสรรค์" กับมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้ให้ความหมายของคำว่า"สิทธิแต่ผู้เดียว" ไว้โดยเฉพาะแล้ว สิทธิในงานอันมีลิขสิทธิ์ตามที่กฎหมายให้ความคุ้มครองจึงต่างกับสิทธิในกรรมสิทธิ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิในลิขสิทธิ์เป็นสิทธิในนามธรรมซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองแก่รูปแบบของการแสดงออกซึ่งความคิดของผู้สร้างสรรค์ เป็นผลงาน 8 ประเภทตามคำจำกัดความของคำว่า"งาน"ดังกล่าวข้างต้น การจะได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์งานจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯส่วนผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้สร้างสรรค์ งานอาจได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8มาตรา 12 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น และลิขสิทธิ์มิได้มีอายุแห่งการคุ้มครองโดยไม่จำกัดเวลาอย่างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 แต่มีอายุแห่งการคุ้มครองจำกัดและสิ้นอายุแห่งการคุ้มครองได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 16 ถึงมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์มิได้บัญญัติให้ผู้ใดอาจมีลิขสิทธิ์ได้โดยการครอบครองปรปักษ์ ทั้งสภาพของลิขสิทธิ์ก็ไม่อาจมีการครอบครองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 13 ดังเช่นสิทธิในกรรมสิทธิ์บนอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีการครอบครองได้ สิ่งที่จำเลยทั้งสองครอบครองไว้จึงเป็นเพียงการครอบครองแผ่นกระดาษที่มีเนื้อเพลงพิพาทอันเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น มิได้ก่อให้เกิดสิทธิในลิขสิทธิ์ได้แต่อย่างใด การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์จะได้มาโดยทางใดได้บ้างเป็นเรื่องที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วดังกล่าวข้างต้น เมื่อไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ใดได้มาซึ่งลิขสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจอ้างว่าได้ลิขสิทธิ์ในเพลงพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะเรียกสำนวนคดีอาญาเรื่องอื่นของศาลชั้นต้นมาเป็นพยานของศาลในคดีนี้ ซึ่งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 239และ 240 แต่เท่าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษามา มิได้ใช้ข้อเท็จจริงอันเกิดจากสำนวนคดีดังกล่าวเลย ไม่ทำให้คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองต้องเสียไป คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองจึงชอบแล้ว.
                                                                                                                                                                                                                                                                                      

nokzaa 2012-01-27 13:34
ขอบคุณค่ะ

admin 2013-02-20 23:27
1111111111111

decho 2014-09-02 18:12
111111111


เวอร์ชันเต็ม: [-- แนวข้อสอบนักวิชาการพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา --] [-- top --]


Powered by PHPWind v7.5 SP3 Code ©2003-2010 PHPWind
Time 0.082277 second(s),query:2 Gzip enabled

You can contact us