ประยุกต์ใช้ โพสล่าสุด โพสสำคัญ เครื่องมือ สมาชิก สถิติฟอรั่ม ธนาคาร
หัวข้อ : แนวข้อสอบนิติกร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
admin ออฟไลน์
ระดับ: ผู้ดูแลระบบ
รายละเอียดผู้ใช้ 

แนวข้อสอบนิติกร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

แชร์กระทู้นี้

1. ชาวบ้านนำเงินไปร่วมกันทอดผ้าป่าให้สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งเป็นจำนวน 150,000 บาท ต่อมาเงินจำนวนดังกล่าวสูญหายไป ผู้ใดต่อไปนี้เป็นผู้เสียหาย

 ถ้า ก เป็นเจ้าคณะสงฆ์ ส่วน ดำ เขียว แดง เหลือง ขาว เป็นผู้ที่ ก เลือกให้เป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบเงินดังกล่าว

 ก. เจ้าคณะสงฆ์

 ข. ชาวบ้านที่ร่วมทำบุญ

 ค. ผู้ที่ถูกรับเลือกให้เป็นกรรมการ

 ง. ข้อ ก และ 

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะสำนักสงฆ์มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายอื่น จึงไม่มีบุคคลใดเป็นผู้จัดการแทนหรือผู้แทนอื่นๆ ที่จะมีอำนาจจัดการแทนสำนักสงฆ์ได้ แต่เจ้าคณะสงฆ์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเงินผ้าป่าที่ชาวบ้านนำไปทอดให้สำนักสงฆ์รวมทั้งผู้ที่เจ้าคณะสงฆ์เลือกให้เป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบเงิน ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสำนักสงฆ์หากเงินดังกล่าวสูญหายไป เจ้าคณะสงฆ์และกรรมการดูแลเงินดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหาย

2. นายเสือและนายสิงห์เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายนก นายเสืออายุ 18 ปี ส่วนนายสิงห์ อายุ 16 ปี ทั้งเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ต่อมานายสิงห์ถูกนายมือทำร้ายจนตาย ต่อไปนี้ผู้ใด ไม่ใช่ผู้มีอำนาจจัดการแทนนายสิงห์ผู้ตาย

 ก. นายนก

 ข. นายเสือ

 ค. ถูกทุกข้อ

 ง. ไม่มีข้อถูก

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะพี่ชายของผู้ตายมิใช่บุคคลตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5(2.) ส่วนบิดานั้นแม้จะเป็นบิดาโดยมิชอบด้วยกฎหมายก็มีอำนาจจัดการแทนบุตรได้ เพราะกำหมายถือตามความเป็นจริงโดยสายโลหิต

3. ข้อใดเป็นหลักเกณฑ์การขอออกหมายขังผู้ต้องหา

 ก. ผู้ต้องหานั้นไม่ใช่ผู้ถูกจับและมิได้มีการออกหมายจับ

 ข. ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาแล้ว

 ค. ผู้ต้องหาถูกเรียกหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง

 ง. ถูกทุกข้อ

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะหลักเกณฑ์การขอออกหมายขังผู้ต้องหา มีดังนี้

 1. ผู้ต้องหาถูกเรียกหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง

 2. ผู้ต้องหานั้นไม่ใช่ผู้ถูกจับและมิได้มีการออกหมายจับ

 3. ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาแล้ว

 4. ต้องมีเหตุที่จะออกหมายขังผู้ต้องหาได้ ตาม ป.วิ. อ. มาตรา 71

4. ความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ ผู้ใดเป็นผู้เสียหาย

 ก. ผู้เยาว์

 ข. บิดา

 ค. มารดา

 ง.  ถูกทั้ง ข และ ค

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยนั้น มีองคืประกอบความผิดร่วมกันระหว่างการหนึ่งว่า “ ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล ... ” ซึ่งเห็นได้ว่าวัตถุแห่งการกระทำความผิดกฎหมายมาตรานี้ที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง คือ อำนาจปกครองของบิดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เยาว์นั่นเอง

5. ข้อใด ไม่ใช่ หลักเกณฑ์ในเรื่องผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

 ก. พนักงานอัยการยื่นฟ้องแล้ว ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

 ข. ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ทั้งคดีความผิดส่วนตัวและคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว

 ค. ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำ พิพากษา

 ง. ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนคดีเสร็จเด็ดขาด

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะหลักเกณฑ์ในเรื่องผู้เสียหายร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ประการหนึ่ง คือ ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ซึ่งต่างกับการที่พนักงานอัยการร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายที่จะยื่นระยะใดก็ได้ก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดคดีเสร็จเด็ดขาด

6. ข้อใด ไม่ใช่ หลักเกณฑ์ในเรื่องการรวมพิจารณาคดีเป็นคดีเดียวกัน

 ก. ต้องเป็นคดีอาญาเรื่องเดียวกัน

 ข. คดีอาญาเรื่องเดียวกันนั้น ทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างได้ยื่นฟ้องในศาลชั้นต้นเดียวกัน หรือต่างศาลกัน

 ค. ต้องสั่งรวมพิจารณาในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา

 ง. กรณีที่ยื่นฟ้องจำเลยต่างศาลกันศาลจะสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันไม่ได้เว้นแต่จะได้รับ ความยินยอมของศาลอื่นนั้นก่อน

คำตอบ : ข้อ ค. เพราะ หลักเกณฑ์ในเรื่องการรวมพิจารณาคดีเป็นคดีเดียวกัน มีดังนี้

 1. ต้องเป็นคดีอาญาเรื่องเดียวกัน

 2. คดีอาญาเรื่องเดียวกันนั้น ทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างได้ยื่นฟ้องในศาลชั้นต้นเดียวกัน หรือต่างศาลกัน

 3. กรณีที่ยื่นฟ้องจำเลยต่างศาลกันศาลจะสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันไม่ได้เว้นแต่จะได้รับ ความยินยอมของศาลอื่นนั้นก่อน

 4. ศาลนั้นๆ มีอำนาจสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน เมื่อศาลเห็นชอบโดยพลการ หรือโดยโจทก์ ยื่นคำร้องขอ

 5. ต้องสั่งรวมพิจารณาในระยะใด ระหว่างพิจารณาก่อนมีคำพิพากษา

7. ในการงดการสอบสวนคดีอาญา มีเหตุกี่กรณี

 ก. 2 กรณี

 ข. 5 กรณี

 ค. 3 กรณี

 ง.  7 กรณี

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะมีเหตุ 2 กรณี คือ

 1. กรณีที่ผู้ต้องหาวิกลจริตให้งดการสอบสวนไว้ก่อนจนกว่าจะหาย

 เมื่อสอบสวนแล้วไม่ปรากฏว่าใครเป็นคนร้าย ไม่รู้ตัวผู้ร้ายให้ปฏิบัติ ดังนี้

 คดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ให้พนักงานสอบสวนงดการสอบสวน

 คดีที่มีโทษจำคุกเกิน 3 ปี ให้พนักงานสอบสวนทำความเห็นว่าควรงดการสอบสวนแล้วส่ง พนักงานอัยการ

8. ข้อใดต่อไปนี้พนักงานสอบสวนไม่สามารถทำการสอบสวนได้

 ก. ท้องที่เกิดเหตุ

 ข. ท้องที่ผู้ต้องหามีที่อยู่

 ค. ท้องที่ที่ผู้ต้องหาถูกจับ

 ง. ท้องที่ที่ผู้เสียหายมีที่อยู่

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะพนักงานสอบสวนสามารถทำการสอบสวนได้ 3 ท้องที่เท่านั้น คือ

 1. ท้องที่เกิดเหตุ

 2. ท้องที่ผู้ต้องหามีที่อยู่

 3. ท้องที่ที่ผู้ต้องหาถูกจับ

9. บุคคลใดมีอำนาจสั่งโอนในเรื่องการโอนคดีในกรณีไม่ปกติ

 ก. ประธานศาลชั้นต้น

 ข. ประธานศาลฎีกา

 ค. ประธารศาลอุทธรณ์

 ง.  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะการโอนคดีในกรณีที่ไม่ปกตอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 26 คือ ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจเหนือคดีนั้นก็เพื่อให้เรียบร้อยแต่เกิดเหตุพิเศษ เช่น จำนวนจำเลย ฐานะจำเลย ฝ่ายผู้เสียหายจึงดำเนินการขอโอนคดี ซึ่งในการโอนคดีในลักษณะนี้สามารถโอนไปที่ไหนก็ได้แต่ผู้มีอำนาจสั่งคือ ประมุขของตุลาการคือประธานศาลฎีกาเท่านั้น

10. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

 ก. ความตายของผู้กระทำผิด

 ข. ความผิดต่อส่วนตัวเมื่อถอนคำร้องทุกข์แล้ว ยอมความแล้ว

 ค. เมื่อผู้ต้องหายอมชำระค่าปรับอัตราสูง สำหรับคดีที่มีโทษปรับสถานเดียว

 ง. ไม่มีข้อถูก

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป มีได้ดังต่อไปนี้

 1.ความตายของผู้กระทำผิด

 2. ความผิดต่อส่วนตัวเมื่อถอนคำร้องทุกข์แล้ว ยอมความแล้ว

 3. คดีอาญาเลิกกัน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 37

 4. เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด้ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง

11. กฎหมายห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐาน เว้นแต่

 ก. มีหมายค้นหรือมีคำสั่งของศาล

 ข. มีหมายศาล

 ค.ไม่มีข้อถูก

 ง. ถูกทั้ง ก และ ข

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะ ป.วิ.อ. มาตรา 92 ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐาน โดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งของศาลเว้นแต่จะมีหมายศาลเสียก่อน

12. ข้อใดกล่าวผิดในเรื่องการถอนฟ้อง

 ก. การถอนฟ้องต้องยื่นเป็นคำร้อง และศาลต้องมีคำสั่งอนุญาตไม่สามารถใช้ดุลยพินิจได้

 ข. ในคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ว่าโจทก์เป็นใครต้องถอนก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 ค. คดีอาญาแผ่นดิน ผู้เสียหายถอนฟ้องไม่ตัดสิทธิพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องใหม่

 ง. ทั้งข้อ ก และ ข

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะการถอนฟ้อง คือ การสละข้อหาในฟ้อง ต้องยื่นเป็นคำร้อง ไม่สามารถถอนด้วยวาจาได้ ซึ่งศาลจะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตก้ได้ แล้วแต่ดุลยพินิจ ส่วนการถอนฟ้องในคดีอาญาผ่นดิน ไม่ว่าโจทก์เป็นใครต้องถอนก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในคดีความผิดต่อส่วนตัว การถอนฟ้องไม่ว่าผู้ใดเป็นโจทก์ย่อมถอนฟ้องได้ก่อนคดีถึงที่สุด ในคดีอาญาแผ่นดินการที่พนักงานอัยการถอนฟ้องไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องใหม่ และเช่นเดียวกันผู้เสียหายถอนฟ้องก็ย่อมไม่ตัดสิทธิพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องใหม่

13. ข้อใดเป็นผลของการไม่แจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหาในการสอบสวนปากคำ

 ก. ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ

 ข. ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้แก่พนักงานสอบสวนรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดไม่ได้

 ค. พนักงานอัยการฟ้องคดีไม่ได้

 ง. ไม่มีผลใดๆทางกำหมาย

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะผลของการไม่แจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหาในการสอบสวนปากคำ ทำให้ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้แก่พนักงานสอบสวนรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของเขาไม่ได้ แต่ไม่มีผลถึงกับทำให้การสอบสวนไม่ชอบ พนักงานอัยการยังมีอำนาจฟ้องได้

14. ข้อใดต่อไปนี้ผิด

 ก. การเปรียบเทียบคดีเป็นอำนาจของศาล

 ข. การฟ้องให้กักกันเป็นอำนาจของพนักงานอัยการ

 ค. การไต่สวนการตายเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน

 ง. การชันสูตรพลิกศพให้แพทย์และพนักงานสอบสวนร่วมกันชันสูตรพลิกศพ

คำตอบ : ข้อ ข้อ ค. เพราะ ป.วิ.อ. มาตรา 150 “... ถ้าเป็นกรณีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ให้พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองตำแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปเป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ เมื่อพนักงานสอบสวนทำสำนวนชันสูตรพลิกศพเสร็จก็ส่งสำเนาให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการจะทำคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทำการไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร...”

15. ข้อใดไม่ใช่เหตุที่จะไม่ทำการสอบสวน

 ก. เมื่อผู้เสียหายฟ้องคดีเองโดยไม่ร้องทุกข์

 ข. เมื่อผู้เสียหายขอความช่วยเหลือแต่ไม่ยอมร้องทุกข์ตามระเบียบ

 ค. เมื่อมีหนังสือกล่าวโทษเป็นบัตรสนเท่ห์

 ง. ผู้เสียหายร้องทุกข์ด้วยวาจา

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะคำร้องทุกข์จะเป็นหนังสือหรือร้องด้วยปากก็ได้ ซึ่งถ้าร้องด้วยปากให้พนักงานสอบสวนบันทึกและลงวันเดือนปีและลายมือชื่อผู้บันทึกผู้ร้องทุกข์ไว้ในบันทึกนั้น

16. ข้อใดต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิอุทธรณ์

 ก. ผู้รับมอบอำนาจให้ประกันตัวจำเลยในคดีอาญาจะอุทธรณ์คำสั่งแทนนายประกัน

 ข. โจทก์ร่วมฟ้องคดีแล้วขอถอนฟ้องโดยระบุว่าเพราะโจทก์ร่วมกับจำเลยตกลงกันได้แล้ว ต่อมา พนักงานอัยการยื่นฟ้อง โจทก์ร่วมขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ต่อมาโจทก์ร่วมอุทธรณ์คำพิพากษาศาล ชั้นต้น

 ค. คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก่อนศาลประทับฟ้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาล

 ง. ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันแต่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในสำนวนหลังและอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลเฉพาะสำนวนที่ตนเป็นโจทก์ร่วม

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะ

1. ผู้รับมอบอำนาจให้ประกันตัวจำเลย ย่อมมีอำนาจเฉพาะประกันตัวและนำจำเลยส่งศาล เมื่อผู้มอบอำนาจไม่ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีต่อศาลจึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งแทนนายประกันไม่ได้ ( คำพิพากษาฎีกาที่ 2922/2541)

2. โจทก์ร่วมฟ้องคดีแล้วขอถอนฟ้องโดยระบุว่าเพราะโจทก์ร่วมกับจำเลยตกลงกันได้แล้วต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้อง โจทก์ร่วมขอเข้า ร่วมเป็นโจทก์ เมื่อโจทก์ร่วมฟ้องคดีร่วมไม่ได้ จึงอุทธรณ์ไม่ได้ ( คำพิพากษาฎีกาที่ 297798/2538)

3. คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ก่อนศาลประทับฟ้อง จำเลยไม่อยู่ในฐานะจำเลย ดังนั้นเมื่อศาลสั่งอย่างไร จำเลยจึงอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งศาลไม่ได้

17. ข้อใด จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้

 ก. จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินกว่าหนึ่งพันบาท

 ข. คำสั่งศาลที่ว่าคดีมีมูล

 ค. คำสั่งศาลที่เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว

 ง. จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินกว่าหนึ่งหมื่นบาท

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะข้อยกเว้นของ ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ที่ให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้มีดังนี้

 1. จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกหรือให้โทษกักขังแทนโทษจำคุก

 2. จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก แต่ศาลรอการลงโทษไว้

 3. ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่รอกำหนดโทษไว้ หรือ

 4. จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินกว่าหนึ่งพันบาท

18. ข้อใดเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย

 ก. อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า คำเบิกความของตัวโจทก์ พยานจำเลย และพฤติการณ์ของจำเลยประกอบ กันฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

 ข. คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด  จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

 ค. ไม่มีข้อใดถูก

 ง. ถูกทั้ง ก และ 

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะ อุทธรณ์นั้น ต้องมีลักษณะดังนี้

1. ต้องเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น

2. ต้องมีลักษณะชัดแจ้ง

3. ต้องเป็นสาระแก่คดี ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกำหมาย โดยอนุโลมตามบทบัญญัติในประมวลกำหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาไม่ได้บัญญัติไว้

เหตุที่ ข้อ ข. ไม่ใช่อุทธรณ์ที่ชอบเนื่องจากเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี

19. ข้อใดไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา

 ก. คำสั่งศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย

 ข. ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขอเวลายื่นอุทธรณ์แก่จำเลย

 ค. คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว

 ง. คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ฟ้อง

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะเป็นคำสั่งภายหลังจากศาลชั้นต้นตัดสินไปแล้วและไม่ใช่คดีที่อยู่ในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากยังไม่ได้มีการอุทธรณ์จึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา

20. การยื่นอุทธรณ์ต้องยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกี่วัน

 ก. 1 เดือน

 ข. 30 วัน

 ค. 2 เดือน

 ง.  60 วัน

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะการยื่นอุทธรณ์ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นในกำหนด 1 เดือน นับจากวันที่อ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง

21. การแก้ฟ้องอุทธรณ์ข้อใดต่อไปนี้ไม่สามารถทำได้

 ก. การเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์ เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้ว

 ข. การแก้ไขชื่อผู้อุทธรณ์ซึ่งพิมพ์ผิด เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้ว

 ค. การแก้ไขที่เป็นการสละข้อต่อสู้ในฟ้องอุทธรณ์ เมื่อพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้ว

 ง. ถูกทุกข้อ

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะการเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์เป็นการแก้ไขประเด็นสำคัญจะต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ภายในอายุอุทธรณ์

22. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ปัญหาข้อเท็จจริง

 ก. ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ฐานใด

 ข. ปัญหาว่าจำเลยกระทำการโดยสุจริตหรือไม่

 ค. จำเลยเถียงว่า จำเลยอายุ 16 ปี ไม่ใช่ 19 ปี

 ง. จำเลยโต้เถียงดุลยพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาล

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ฐานใด เป็นปัญหาข้อกำหมาย

23. ผู้พิพากษาที่มีอำนาจที่จะอนุญาตหรือรับรองให้ฎีกาสำหรับคดีซึ่งกฎหมายห้ามฎีกา คือ

 ก. ผู้พิพากษาที่จะพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

 ข. ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต่อมาย้ายไปรับราชการเป็นผู้พิพากษา ศาลอื่น

 ค. ผู้พิพากษาที่จะพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต่อมาย้ายไปรับราชการเป็นตุลาการ ศาลปกครอง

 ง.  ข้อ ก และ ข ถูก

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะผู้พิพากษาที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้คือ

 1. ผู้พิพากษาที่จะพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

 2. ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

 3. ผู้พิพากษาที่ทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

ผู้พิพากษาที่มีอำนาจอนุญาตดังกล่าวแม้ต่อมาย้ายไปรับราชการที่ศาลอื่นหากยังคงรับราชการเป็นผู้พิพากษาอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในศาลยุติธรรมใด รวมทั้งผู้พิพากษาอาวุโสด้วย ก็ยังมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาได้ แต่ถ้าไปเป็นตุลาการศาลปกครอง หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วจะอนุญาตให้ฎีกาไม่ได้

24. ต่อไปนี้เรื่องใดผิด

 ก. กรณีไม่แน่ชัดว่าพนักงานสอบสวนคนใดในจังหวัดเดียวกันควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ ให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดเป็นผู้ชี้ขาด

 ข. กรณีความผิดเกิดนอกราชอาณาจักรให้อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนเป็นพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบ

 ค. การสอบสวนถ้าทำโดยพนักงานสอบสวนซึ่งไม่มีอำนาจในการที่จะสอบสวน แต่ไม่มีการ คัดค้านจากผู้ต้องหาหรือจำเลย ก็ถือว่าเป็นการสอบสวนที่ชอบ

 ง. กรณีความผิดที่เกิดนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนจะมอบหมายหน้าที่ให้ พนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนแทนก็ได้

คำตอบ : ข้อ ค.. การสอบสวนถ้าทำโดยพนักงานสอบสวนซึ่งไม่มีอำนาจในการที่จะสอบสวน แต่ไม่มีการ คัดค้านจากผู้ต้องหาหรือจำเลยการสอบสวนนั้นก็ยังไม่ชอบอยู่นั่นเอง

25. ข้อใดไม่ใช่โทษทางอาญา

 ก. ริบทรัพย์สิน

 ข. บำเพ็ญประโยชน์

 ค. ปรับ

 ง. กักขัง

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะโทษทางอาญามีดังนี้

 1. ประหารชีวิต

 2. จำคุก

 3. กักขัง

 4. ปรับ

 5. รับทรัพย์สิน

26. ในชั้นตรวจคำฟ้องถ้าศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้องหรือมีข้อบกพร่องศาลมีอำนาจดำเนินการได้กี่ประการ

 ก. 2 ประการ

 ข. 3 ประการ

 ค. 4 ประการ

 ง. 5 ประการ

คำตอบ : ข้อ ข. เพราะศาลมีอำนาจดำเนินการได้ 3 ประการ คือ

 1. ให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง

 2. พิพากษายกฟ้อง

 3. ไม่ประทับฟ้อง

27. ข้อใดผิด

 ก. กรณีฟ้องของโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิด ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

 ข. กรณีโจทก์ฟ้องผิดศาลหรือฟ้องต่อศาลที่ไม่มีเขตอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นศาลต้องไม่ รับฟ้อง

 ค. ในวันที่พนักงายอัยการโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาล โจทก์ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลซึ่งถือว่าเป็นการยื่น ฟ้องที่ไม่ถูกต้อง ศาลต้องไม่รับฟ้อง

 ง.  คำฟ้องโจทก์ไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นโจทก์ หรือไม่ได้ลงชื่อผู้ร้อง ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะ คำฟ้องที่โจทก์ไม่ได้ลงชื่อในฐานะเป็นโจทก์ หรือไม่ได้ลงชื่อผู้ร้องให้ศาลสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องให้ถูกต้อง

28. ข้อใดไม่ใช่เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง

 ก. เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยคนเดียวฐานทำให้เสียทรัพย์ ต่อมาโจทก์ขอเพิ่มเติมคำฟ้องกล่าวหามารดา จำเลยว่าฉ้อโกง

 ข. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าคนตายโดยเจตนา อ้างว่าเหตุเกิดในเวลากลางวัน จำเลยให้การต่อสู้ว่า กระทำไปเพราะป้องกันตัว เมื่อสืบพยานจำเลยเสร็จ โจทก์ขอแก้ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดเวลา กลางคืน

 ค. โจทก์ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีอื่นแต่ไม่ได้ขอมาในคำขอท้ายฟ้องต่อมาโจทก์จึงยื่นขอ แก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยขอให้ศาลนับโทษต่อ

 ง. โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังสืบพยานจำเลยไปบ้างแล้วโดยอ้างเหตุว่าคำฟ้องโจทก์พิมพ์ วันที่เกิดเหตุผิดพลาด

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะไม่ใช่เรื่องแก้ไขฟ้องเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นเรื่องการฟ้องจำเลยคนใหม่เข้ามา จะฟ้องเข้ามาในคดีเดิมไม่ได้ ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ (คำพิพากษาฎีกาที่ 18/2511)

29. คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องในข้อใดที่กฎหมายห้ามมิให้ศาลอนุญาต

 ก. คำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการสู้คดี

 ข. คำร้องขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องที่ยื่นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา

 ค. คำร้องขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องในประเด็นที่จำเลยมิได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิดหรือไม่ได้กล่าว เอาไว้

 ง. ถูกทุกข้อ

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะ ป.วิ. อ. มาตรา 164 กำหนดไว้ว่า คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องนั้น ถ้าทำให้จำเลยเสียเปรียบในการสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาต

30. กำหนดนัดของศาลในข้อใดที่แม้ว่าโจทก์ผิดนัดแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นกำหนดนัดที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องได้

 ก. นักพร้อม

 ข. นัดสืบพยานโจทก์

 ค. นัดไต่สวนมูลฟ้อง

 ง. นัดพิจารณา

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะนัดพร้อมไม่ถือว่าเป็นกำหนดนัดที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 ได้

จำหน่ายเอกสารแนวข้อสอบนิติกกร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ใหม่ล่าสุดที่กำลังเปิดสอบ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปติวและเวลาไปหาซื้อหนังสือ
เป็นไฟล์เอกสารส่งทาง e-mail 

 ส่งทันทีรวดเร็ว ได้อ่านสอบเร็วไม่ต้องรอ รวบรวมจากหนังสือมากกว่า

 สิบเล่มและรุ่นพี่ที่สอบได้

รายละเอียดภายในไฟล์ประกอบด้วย

ความรู้ความสามารถทั่วไป

- แนวข้อสอบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

- แนวข้อสอบกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

- แนวข้อสอบกฎหมายอาญา

- แนวข้อสอบวิธีพิจารณาความแพ่ง

ความรู้ความเกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ

- ข้อสอบ พรบ. ระเบียบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แก้ไข 2550

- ข้อสอบ พ.ร.ก ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546

- สรุป ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพนักงานราชการ  2547

- แนวข้อสอบพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง  ทบวง  กรม พ.ศ. 2545

- สรุปประเด็นสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 2548

- กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ.ศ. 2551

- ระเบียบสำนักนายกว่าด้วยการจัดการร้องทุกข์ 2552

สั่งซื้อที่

ส่งเป็นไฟล์ทางอีเมล์ สนใจสั่งซื้อมาที่ โทร 085-0127724  Line : testthai1
สามารถนำไปปริ้นเพื่นอ่านได้เลย ในราคาเพียงส่ชุดละ 399 บาท  ได้รับภายใน 2-3 ชม.
ส่ง EMS ทางไปรษณีย์ เป็นหนังสือ +MP3  ราคา 679 บาท ได้รับภายใน 2-3 วัน
กรุณาชำระค่าสินค้าและบริการ
เลขที่บัญชี 491-2-00428-2 
ธ.กสิกรไทย  
ออมทรัพย์ ชื่อบัญชี decho pragay

ผลงานการสอบได้ของลูกค้า 
ติดตามข่าวการสอบราชการที่  https://www.facebook.com/testthai1
ดาวน์โหลดแนวข้อสอบรับราชการที่นี่  www.ข้อสอบงานราชการไทย.com

จำหน่ายเอกสารแนวข้อสอบรับราชการ   085-0127724
รายละเอียดไฟล์แนบ
กล่องตอบกลับด่วน

กรุณาใช้ข้อความที่สุภาพ คุณสามารถบันทึกฉบับร่างได้
กด "Ctrl+Enter" เพื่อตั้งกระทู้ได้