ประยุกต์ใช้ โพสล่าสุด โพสสำคัญ เครื่องมือ สมาชิก สถิติฟอรั่ม ธนาคาร
หัวข้อ : แนวข้อสอบนิติกร บุคลากรทางการศึกษา สพฐ.
admin ออฟไลน์
ระดับ: ผู้ดูแลระบบ
รายละเอียดผู้ใช้ 

แนวข้อสอบนิติกร บุคลากรทางการศึกษา สพฐ.

แชร์กระทู้นี้

ข้อสอบนิติกร สพฐ. ทุกจังหวัด

แนวข้อสอบวิธีพิจารณาความแพ่ง 

1. ในกรณีที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตพื้นที่การศึกษา ให้ศาลใดเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดี

 ก. ศาลที่เป็นภูมิลำเนาของผู้เสียหายในกรณีที่ผู้เสียหายมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่นั้น

 ข. ศาลจังหวัด

 ค. ศาลแพ่ง

 ง. ศาลที่เป็นภูมิลำเนาของผู้ต้องหาในกรณีที่ผู้ต้องหามีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร

คำตอบ : ข้อ ก. ศาลที่เป็นภูมิลำเนาของผู้เสียหายในกรณีที่ผู้เสียหายมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่นั้น

2. ข้อใดไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์

 ก. ฟ้องบังคับให้โอนที่ดิน

 ข. ฟ้องเกี่ยวกับสิทธิเก็บกิน

 ค. คำฟ้องเกี่ยวกับสิทธิยึดหน่วงโฉนด

 ง. ฟ้องขับไล่ออกจากบ้านพิพาท

คำตอบ : ข้อ ค. เพราะคำฟ้องเกี่ยวกับสิทธิยึดหน่วงโฉนด ไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1428-1429/2514)

3. คำฟ้องในคดีซึ่งจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาราจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ให้ฟ้องคดีต่อศาลต่อไปนี้ ยกเว้นข้อใด

 ก. ศาลแพ่ง

 ข. ศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนา

 ค. ศาลที่จำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับได้ในราชอาณาจักรอยู่ในเขต

 ง.  ศาลที่โจทก์มีทรัพย์สินอยู่ในภูมิลำเนาอยู่ในเขต

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะ ป.วิ.พ. มาตรา 4 ตรี กำหนดว่า “ คำฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำเลยมิได้ภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรและมูลคดีมิได้เกิดขึ้นในราชอาราจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาราจักร ให้เสนอต่อศาลแพ่งหรือศาลที่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล

 คำฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร โจทก์จะเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้ ” 

4. ในคดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกเรื่องหนึ่ง ข้อเท็จจริงมีว่าผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและถึงแก่ความตายที่จังหวัดพิจิตร แต่ผู้ตายอยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ร้องนานถึง 20 ปี ที่จังหวัดสมุทรปราการและได้ซื้อที่ดินไว้ที่จังหวัดสมุทรปราการด้วย ดังนี้ถ้าผู้ร้องจะร้องของจัดการมรดก ต้องร้องต่อศาลใดจึงจะเป็นศาลที่มีเขตอำนาจ

 ก. ศาลจังหวัดพิจิตร

 ข. ศาลจังหวัดสมุทรปราการ

 ค. ศาลแพ่ง

 ง. ข้อ ก และ ข ถูก

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะแม้ผู้ตายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและถึงแก่ความตายที่จังหวัดพิจิตร แต่ผู้ตายอยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ร้องนานถึง 20 ปี ที่จังหวัดสมุทรปราการและได้ซื้อที่ดินไว้ที่จังหวัดสมุทรปราการด้วย แสดงว่าผู้ตายมีบ้านอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญอีกแหล่งหนึ่งด้วย ดังนั้น นอกจากบ้านที่จังหวัดพิจิตรแล้วก็ยังถือได้ว่าบ้านที่จังหวัดสุมทรปราการเป็นภูมิลำเนาเป็นภูมิลำเนาของผู้ตายอีกแห่งหนึ่งด้วย เพราะในคดีร้องขอจัดการมรดกนั้นอาจจะมีศาลที่จะยื่นคำร้องขอได้หลายศาล ( คำพิพากษาฎีกาที่ 5912/2539)

5. ต่อไปนี้ข้อใด ไม่ใช่ลักษณะคดีที่เป็นคดีเดียวแต่อยู่ในเขตอำนาจศาลหลายศาลได้

 ก. คดีที่มีมูลคดีเกิดขึ้นหลายท้องที่ที่อยุ่ในเขตศาลต่างกัน

 ข. คดีที่มีหลายข้อหา

 ค. คดีตั้งอยู่ในเขตศาลหลายศาล

 ง. ไม่มีข้อถูก

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลหลายศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 5 ได้แก่

1. คดีฟ้องจำเลยร่วมกันหลายคนที่มูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน แต่ละคนมีภูมิลำเต่างกัน 

2. คดีที่มีมูลคดีเกิดขึ้นหลายท้องที่ที่อยู่ในเขตศาลต่างกัน 

3. คดีที่มีหลายข้อหา 

4. คดีตั้งอยู่ในเขตศาลหลายศาล 

ในคดีที่มีหลายศาลมีอำนาจเหนือคดีนั้น โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยทุกคนต่อศาลหนึ่งศาลใดก็ได้หรือฟ้องจำเลยแต่ละคนในแต่ละเขตศาลก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่มี เพราะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีโดยใช่เหตุ การยื่นฟ้องต่อศาลใดที่มีเขตอำนาจนั้นเป็นสิทธิ์ของโจทก์ จึงไม่ต้องขออนุญาตศาล และศาลที่โจทก์เสนอคำฟ้องนั้นจะเกี่ยงไปให้ฟ้องยังอีกศาลหนึ่งไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ 

6. ข้อใดไม่ใช่หลักในเรื่องการขอโอนคดี

 ก. ต้องมีศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นตั้งแต่สองศาลขึ้นไป

 ข. จำเลยเท่านั้นมีสิทธิขอโอนคดี

 ค. การพิจารณาคำร้องขอโอนคดีจะต้องฟังโจทก์และคู่ความอื่น ถ้ามี ก่อนว่าจะคัดค้านอย่างไร หรือไม่

 ง. ถ้าศาลที่รับโอนคดีไม่ยินยอม ศาลเดิมจะต้องส่งเรื่องให้ประธานศาลฎีกาชี้ขาด และคำสั่งสอน ของประธานศาลฎีกาเป็นที่สุด

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะ ถ้าศาลที่รับโอนคดีไม่ยินยอม ศาลเดิมจะต้องส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาด และคำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตาม ป.วิพ. มาตรา 8

7. ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์ของการรวมคดีที่มีเขตอำนาจศาลต่างกัน

 ก. ศาลที่รับโอนคดีจะต้องมีอำนาจเหนือคดีที่รับโอน

 ข. คดีมีประเด็นอย่างเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกันอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นต่างศาล กัน แม้กฎหมายจะใช้คำว่าคดีสองเรื่องแต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องสองเรื่องเสมอไปอาจจะมี มากกว่าสองเรื่องก็ได้ สองศาลก็ได้

 ค. คู่ความในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่นั้นมีสิทธิที่จะรวมคดีได้ ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคู่ความใน คดีหนึ่งคดีใดก็ได้

 ง. คู่ความขอดอนคดีไปรวมที่ศาลใดก็ได้และศาลที่จะโอนไปรวมนั้นต้องถามศาลที่รับโอนก่อนว่า ยินยอมที่จะรับโอนหรือไม่

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะศาลที่รับดอนคดีจะมีอำนาจเหนือคดีที่รับโอนหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะเป็นเรื่องการรวมคดีจากศาลหนึ่งไปรวมกับอีกศาลหนึ่ง แม้จะเรียกว่าเป็นการโอนก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องการโอน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 6 เป็นการโอนไปรวมพิจารณากับอีกศาลหนึ่ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 8

8. ข้อใดต่อไปนี้เป็นสาระสำคัญในเรื่องการขอรวมคดีที่มีเขตอำนาจศาลซ้อนกันหรือการขอรวมคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลหลายศาล

 ก. มีคดีหลายเรื่องค้างพิจารณาในศาลชั้นต้นเดียวกันหรือต่างศาลกัน

 ข. การขอรวมของคู่ความ อาจจะขอมาในชั้นที่ยื่นคำให้การหรือยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นๆ ก่อนศาลมีคำพิพากษาซึ่งศาลที่รับคำร้องจะต้องสอบถามคู่ความฝ่ายอื่นเสียก่อน

 ค. ศาลที่จะรับดอนคดีไปรวมต้องเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีที่โอนมาด้วย ถ้าไม่มีเขตอำนาจ เหนือคดีนั้นจะรับโอนมาไม่ได้

 ง. ถูกทุกข้อ

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะตามบทบัญญัติของ ป.วิ .พ. มาตรา 28 มีสาระสำคัญในเรื่องการขอรวมคดีที่มีเขตอำนาจศาลซ้อนกันดังนี้

1. มีคดีหลายเรื่องค้างพิจารณาในศาลชั้นต้นเดียวกันหรือต่างศาลกัน 

2. คดีที่ค้างพิจารณานั้นคู่ความทั้งหมดหรือแต่บางฝ่ายเป็นคู่ความรายเดียวกัน คือ อาจจะเป็นโจทก์คนเดียวกันหรือจำเลยคนเดียวกันหรือทั้งโจทก์ทั้งจำเลยเป็นคนเดียวกันก็ได้หรือถ้ามีผู้ร้องสอดก้อาจจะมีผู้ร้องสอดคนเดียวกันก็ได้ 

3. คดีที่ค้างพิจารณานั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน 

4. การนำคดีมารวมกันนั้นจะทำให้เกิดความสะดวกในการพิจารณา 

5. คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะขอให้มีการรวมพิจารณาหรือศาลเห็นจะให้มีการรวมพิจารณาก็ได้ 

6. การขอรวมของคู่ความ อาจจะขอมาในชั้นที่ยืนคำให้การหรือยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นๆก่อนศาลมีคำพิพากษา ซึ่งศาลที่รับคำร้องจะต้องสอบถามคู่ความฝ่ายอื่นเสียก่อน 

7. เมื่อศาลที่รับคำร้องรวมเห็นสมควรให้รวม ถ้าเป็นคดีศาลเดียวกันก็สั่งรวมพิจารณาได้เลย แต่ถ้าเป้นเรื่องต่างศาลกันแล้ว ศาลที่โอนไปรวมต้องสอบถามศาลที่จะรับโอนไปรวมเสียก่อนถ้าศาลที่รับโอนไปรวมไม่ขัดข้องก็สั่งให้โอนไปรวมได้ 

8. ศาลที่จะรับโอนคดีไปรวมต้องเป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีที่โอนมาด้วยถ้าไม่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นจะรับโอนมาไม่ได้ ไม่เหมือนกับการโอนมารวม ตามมาตรา 8 เพราะว่าการโอนมารวมตามมาตรา 8 เป็นเรื่องต่างเขตอำนาจกัน 

9. ถ้าศาลที่รับดอนไปรวมไม่ยินยอมศาลที่จะโอนไปรวมก็ต้องส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่าจะให้โอนไปรวมหรือไม่ ไม่ว่าศาลชั้นต้นที่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในเขตอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาคใดก็ต้องส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ คำสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ถือเป็นที่สุด 

9. ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์การขอบังคับคดีนอกเขตศาล

 ก. มีการออกหมายบังคับคดี ตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 275 แล้ว

 ข. ต้องเป็นกรณีที่ปรากฏว่าทรัพย์หรือบุคคลที่จะต้องบังคับหรือจะต้องถูกบังคับอยู่นอกเขตศาลที่ ออกหมายบังคับคดี

 ค. เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษา ยื่นคำแถลงต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือทรัพย์และบุคคลที่จะต้องถูก บังคับ หรือเจ้าหน้าที่บังคับคดีรายงานให้ศาลมีเขตอำนาจทราบว่าจะต้องมีการบังคับคดีต่อทรัพย์ หรือบุคคลที่อยู่ในเขตศาลนั้น

 ง. เจ้าหน้าที่ตามคำพิพากษา ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือทรัพย์และบุคคลที่จะต้องถูก บังคับ หรือเจ้าหน้าที่บังคับคดีรายงานให้ศาลมีเขตอำนาจทราบว่าจะต้องมีการบังคับคดีต่อทรัพย์ หรือบุคคลที่อยู่ในเขตศาลนั้น

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ยื่นคำแถลงต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือทรัพย์และบุคคลที่จะต้องถูกบังคับ หรือเจ้าหน้าที่บังคับคดีรายงานให้ศาลมีเขตอำนาจทราบว่าจะต้องมีการบังคับคดีต่อทรัพย์หรือบุคคลที่อยู่ในเขตศาลนั้น

10. ในเรื่องอำนาจในการพิจารณาเนื้อหาของคำคู่ความ ในการพิจารณาเนื้อหาศาลมีทางที่จะสั่งได้ 3 ทาง ต่อไปนี้ ยกเว้นข้อใด

 ก. สั่งให้แก้ไข เอเนื้อหาไม่ถูกต้อง

 ข. สั่งรับคำคู่ความนั้นไว้พิจารณา เมื่อเห็นว่าชอบด้วยกฎหมาย

 ค. สั่งไม่รับคำคู่ความนั้นถ้าเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 ง. สั่งให้คืนไป เพื่อยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ เมื่อยื่นผิดศาล

คำตอบ : ข้อ ก. เพราะในกรณีที่เนื้อหาของคำคู่ความไม่ถูกต้อง ศาลไม่มีอำนาจไปสั่งแก้ไขให้ถูกต้อง เนื่องจากการไปสั่งอย่างนั้นเป็นการทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบในทางคดีซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของศาล

11. ข้อใดผิด

 ก. คำฟ้องที่ไม่ระบุตัวทรัพย์สินที่พิพาทให้ชัดเจน ศาลสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณา

 ข. คำฟ้องที่ไม่แสดงชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ศาลสั่งไม่รับฟ้อง

 ค. คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 นั้น เมื่อไม่มีเหตุผลเพียงพอ ศาลต้องมีคำสั่งให้คืนไปเพื่อแสดงเหตุผลที่เพียงพอกว่านี้ แล้วให้นำมายื่นใหม่

 ง. คำฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้องให้จำเลยรับผิดตามฟ้องได้ ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง

คำตอบ : ข้อ ง. คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 นั้น เมื่อไม่มีเหตุผลเพียงพอ ศาลต้องสั่งยกคำร้องโดยไม่จำเป็นต้องไต่สวน (คำพิพากษาฎีกาที่ 4017/2530)

12. คู่ความหมายความถึงบุคคลดังต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด

 ก. โจทก์

 ข. จำเลย

 ค.ผู้ร้องสอด

 ง. ผู้พิพากษา

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะ ป.วิ.พ. มาตรา 1 “ในประมวลกฎหมายนี้ ถ้าข้อความมิได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น”

11 “คู่ความ ” หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้อง หรือถูกฟ้องต่อศาล และเพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาให้รวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้นๆตามกำหมายหรือในฐานะทนายความ... “ เช่น โจทก์ จำเลย ผู้ร้องสอด ผู้คัดค้าน ผู้ร้องขอ ผู้แทนนิติบุคคล ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้จัดการมรดก ทนายความของแต่ละฝ่ายที่เป็นคู่ความ ผู้รับมอบอำนาจจากตัวความให้ดำเนินคดีแทน 

13. บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่คู่ความสามารถเข้ามาเป็นคู่ความได้โดยวิธีใด 

 ก. ร้องสอดด้วยความสมัครใจเอง เพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่

 ข. ร้องสอด ด้วยความสมัครใจเอง เพราะตนมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น

 ค. โดยถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี

 ง. ร้องสอด โดยคำสั่งของพนักงานสอบสวน

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด มีดังนี้

1. ด้วยความสมัครใจเอง เพราะ เห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น 

2. ด้วยความสมัครใจเอง เพราะตนมีส่วนได้เสียตามกำหมายในผลแห่งคดีนั้นโดยยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมหรือเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียทีเดียวโดยได้รับความยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้นแต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่กันได้ก็ตาม คู่ความฝ่ายนั้นจำต้องผูกพันตนโดยคำพิพากษาของศาลทุกประการเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย 

3. เมื่อถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี 

 ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี หรือโดยคำสั่งของศาลเมื่อศาลนั้นเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ 

14. ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์ของการฟ้องซ้ำ

 ก. คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุดแล้ว

 ข. คู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นรายเดียวกัน

 ค. ประเด็นที่วินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน

 ง. คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณา

คำตอบ : ข้อ ง. เพราะคดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วึ่งสรุปหลักเกณฑ์สำคัญได้สามประการคือ

1. คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุดแล้ว 

2. คู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นรายเดียวกัน 

3. ประเด็นที่วินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน 

15. เรื่องฟ้องซ้ำ ข้อใดต่อไปนี้เป็นข้อยกเว้นที่ทำให้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

 ก. เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล

 ข. เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งได้กำหนดวิธีการชั่วคราวให้อยู่ภายในบังคับที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกเสียได้ตามพฤติการณ์

 ค.เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ยกฟ้องเสียโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำฟ้องมายื่นใหม่ ในศาล เดียวกันหรือในศาลอื่น ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

 ง. ถูกทุกข้อ

คำตอบ : ข้อ ง. ข้อยกเว้นที่ทำให้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ มีดังต่อไปนี้ คือ

 1. เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล

 2. เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งได้กำหนดวิธีการชั่วคราวให้อยู่ภายในบังคับที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกเสียได้ตามพฤติการณ์

 3.เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ยกฟ้องเสียโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำฟ้องมายื่นใหม่ ในศาล เดียวกันหรือในศาลอื่น ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ

จำหน่ายไฟล์เอกสารแนวข้อบุคลากรทางการศึกษา สพฐ. ตำแหน่งนิติกร

ใหม่ล่าสุดที่กำลังเปิดสอบ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปติวและเวลาไปหาซื้อหนังสือ
เป็นไฟล์เอกสารส่งทาง e-mail 

 ส่งทันทีรวดเร็ว ได้อ่านสอบเร็วไม่ต้องรอ รวบรวมจากหนังสือมากกว่า สิบเล่มและรุ่นพี่ที่สอบได้

รายละเอียดภายในไฟล์ประกอบด้วย

ความรู้ความสามารถทั่วไป

- แนวข้อสอบความรู้ความสามารถทั่วไป  ความสามารถด้านคิดคำนวน ความสามารถด้านเหตุผล

- แนวข้อสอบวิชาภาไทย  การใช้ภาษา  ความเข้าใจภาษา

ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง

- รวมแนวข้อสอบ พรบ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547

- รวมแนวข้อสอบ พรบ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ 2546

- แนวข้อสอบพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ

- รวมแนวข้อสอบความรู้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น

- แนวข้อสอบแต่ละตำแหน่งที่ใช้สอบ นิติกร รวมข้อสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

สั่งซื้อที่

ส่งเป็นไฟล์ทางอีเมล์ สนใจสั่งซื้อมาที่ โทร 085-0127724  Line : testthai1
สามารถนำไปปริ้นเพื่นอ่านได้เลย ในราคาเพียงส่ชุดละ 399 บาท  ได้รับภายใน 2-3 ชม.
ส่ง EMS ทางไปรษณีย์ เป็นหนังสือ +MP3  ราคา 679 บาท ได้รับภายใน 2-3 วัน
กรุณาชำระค่าสินค้าและบริการ
เลขที่บัญชี 491-2-00428-2 
ธ.กสิกรไทย  
ออมทรัพย์ ชื่อบัญชี decho pragay

ผลงานการสอบได้ของลูกค้า 
ติดตามข่าวการสอบราชการที่  https://www.facebook.com/testthai1
ดาวน์โหลดแนวข้อสอบรับราชการที่นี่  www.ข้อสอบงานราชการไทย.com

จำหน่ายเอกสารแนวข้อสอบรับราชการ   085-0127724
รายละเอียดไฟล์แนบ
กล่องตอบกลับด่วน

สามารถอัพโหลดไฟล์แนบ สำหรับโพสได้
กด "Ctrl+Enter" เพื่อตั้งกระทู้ได้