1.พลทหารดำ ทหารกองประจำการ สังกัด กองพันทหารราบที่ 1 กระทำความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ พ.ท.สุรศักดิ์ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ จึงสั่งลงทัณฑ์ขังพลทหารดำ 5 วัน ดังนี้คำสั่งลงทัณฑ์ของ พ.ท.สุรศักดิ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร
มาตรา 7 ได้กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารมีอำนาจลงทัณฑ์แก่ทหารผู้กระทำผิดต่อวินัยทหารตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ไม่ว่าเป็นการกระทำความผิดในหรือนอกราชอาณาจักร
มาตรา 8 ได้กำหนดให้ การกระทำผิดบางอย่าง ( 21 บทมาตรา ) ถ้าผู้บังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารพิจารณาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อวินัยทหาร และให้มีอำนาจลงทัณฑ์ตามมาตรา 7 เว้นแต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร จะสั่งให้ส่งตัวผู้กระทำความผิดไปดำเนินคดีในศาลทหาร หรือจะมีการดำเนินคดีนั้นในศาลพลเรือนตามกฎหมายว่ายด้วยธรรมนูญศาลทหารจึงให้เป็นไปตามนั้น
มาตรา 9 ได้กำหนดให้ ความในมาตรา 8 ให้ใช้ตลอดถึงความผิดลหุโทษและความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย
ข้อพิจารณา การกระทำความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ถือเป็นความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 102 ซึ่งถ้าผู้บังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยทหาร และผู้มีอำนาจบังคับบัญชาทหารมีอำนาจลงทัณฑ์ได้ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
การที่พลทหารดำ ทหารกองประจำการ สังกัด กองพันทหารราบที่ 1 กระทำความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ถือว่า พลทหารดำ กระทำความผิดอาญาฐานลหุโทษ ในกรณีนี้เมื่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ก็ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยทหาร และให้มีอำนาจลงทัณฑ์แก่ทหารผู้กระทำผิดวินัยได้ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
ดังนั้น คำสั่งลงทัณฑ์ของ พ.ท.สุรศักดิ์ ที่สั่งลงทัณฑ์ขังพลทหารดำ 5 วัน จึงชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา 9 ประกอบด้วยมาตรา 7 และ 8
2. สิบตรีสุรศักดิ์ สังกัด กง.ทบ. กระทำความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียว พล.ต.มานพ จก.กง.ทบ. เห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ จึงสั่งลงทัณฑ์ขัง ส.ต.สุรศักดิ์ 3 วัน ดังนี้ คำสั่งของ พล.ต.มานพ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร
มาตรา 7 กำหนดว่า ให้ผู้บังคับบัญชาทหารตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารมีอำนาจลงทัณฑ์แก่ทหารที่กระทำผิดวินัยตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร ไม่ว่าเป็นการกระทำผิดในหรือนอกราชอาณาจักร.
มาตรา 8 กำหนดว่า การกระทำบางอย่าง (21 บทมาตรา )ถ้าผู้มีอำนาจบังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อวินัยทหาร และให้มีอำนาจลงทัณฑ์ตามมาตรา 7 เว้นแต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร จะสั่งให้ส่งตัวผู้กระทำความผิดไปดำเนินคดีในศาลทหาร หรือจะมีการดำเนินคดีนั้นในศาลพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหารจึงให้เป็นไปตามนั้น
มาตรา 9 กำหนดว่า ความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 ให้ใช้ได้ตลอดถึงความผิดลหุโทษและความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย
ข้อพิจารณา การกระทำความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียว เป็นความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย ซึ่งถ้าผู้บังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยทหาร และผู้มีอำนาจบังคับบัญชาทหารมีอำนาจลงทัณฑ์ได้ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
กรณีที่ ส.ต.สุรศักดิ์ กระทำความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียว ซึ่งเป็นความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย พล.ต.มานพ จก.กง.ทบ. ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหารพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ถือว่า ส.ต.สุรศักดิ์ กระทำผิดวินัยทหาร พล.ต.มานพ จก.กง.ทบ. จึงมีอำนาจลงทัณฑ์ ส.ต.สุรศักดิ์ได้ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
ดังนั้น การที่ พล.ต.มานพ จก.กง.ทบ. สั่งขัง ส.ต.สุรศักดิ์ 3 วัน จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา 9 ประกอบด้วยมาตรา 7 และ 8
3.พลทหาร สมชาย สังกัด กองพันบริการ กรมยุทธบริการทหาร ไม่พอใจนายสมหมายที่มักจะพูดจาข่มขู่รีดไถเงินพลทหาร สมชายเป็นประจำ ในวันเกิดเหตุ นายสมหมายได้มาหา พลทหาร สมชาย ที่กรมยุทธบริการทหาร และทำการข่มขู่เช่นเดิม พลทหาร สมชาย จึงได้ใช้มือชกใบหน้าของนายสมหมายจำนวน 1 ครั้ง เป็นเหตุให้นายสมหมายได้รับบาดแผลฉีกขาด ต่อมา พันเอก สมศักดิ์ ผู้บังคับกองพันบริการ กรมยุทธบริการทหาร ทราบเรื่องจึงได้ดำเนินการสอบสวนจนเสร็จสิ้น และพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญเนื่องจากพลทหาร สมชาย ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุก่อนและชกเพียง 1 ครั้งเท่านั้น จึงดำเนินการเพื่อให้มีการลงทัณฑ์ทางวินัยทหารแทนการดำเนินคดีอาญาในศาล
ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า การดำเนินการเพื่อให้มีการลงทัณฑ์ของ พันเอก สมศักดิ์ นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
ข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร
มาตรา 8 กำหนดว่า การกระทำบางอย่าง ( ใน 21 บทมาตรา ) ถ้าผู้มีอำนาจบังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาเห็นว่าเป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยทหาร และมีอำนาจลงทัณฑ์ตามมาตรา 7 เว้นแต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร จะสั่งให้ส่งตัวผู้กระทำความผิดไปดำเนินคดีในศาลทหาร หรือจะมีการดำเนินคดีนั้นในศาลพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหารจึงให้เป็นไปตามนั้น
มาตรา 9 กำหนดว่า ความที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 ให้ใช้ได้ตลอดถึงความผิดลหุโทษและความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย
ข้อพิจารณา การกระทำความผิดเฉพาะบางฐานความผิด ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8 ( 21 บทมาตรา ) ตามประมวลกฎหมายอาญาทหาร รวมทั้งการกระทำความผิดลหุโทษ และความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย ถ้าผู้บังคับบัญชาทหารตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาเห็นว่า เป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ ให้ถือว่าเป็นความผิดวินัยทหาร และให้ลงทัณฑ์ได้ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
กรณี พลทหารสมชาย ได้ใช้มือชกใบหน้าของนายสมหมายจำนวน 1 ครั้ง เป็นเหตุให้นายสมหมายได้รับบาดแผลฉีกขาด ถือว่า พลทหารสมชายได้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งฐานความผิดนี้ไม่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายอาญาทหาร อีกทั้งมิได้เป็นความผิดลหุโทษเพราะมีโทษจำคุกสูงกว่าความผิดฐานลหุโทษและไม่เป็นความผิดที่เปรียบเทียบได้ตามกฎหมาย ดังนั้น การกระทำของพลทหารสมชาย จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยทหาร และผู้บังคับบัญชาไม่มีอำนาจลงทัณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
ดังนั้น การดำเนินการเพื่อให้มีการลงทัณฑ์ของ พันเอก สมศักดิ์ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญาทหาร มาตรา 8 ประกอบด้วยมาตรา 7 และมาตรา 9
4. ศาลประจำหน่วยทหารกับศาลทหารชั้นต้นอื่นๆ มีความแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย?
ศาลทหารในเวลาปกติแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ( มาตรา 6 ) คือ
(1.) ศาลทหารชั้นต้น
(2) ศาลทหารกลาง
(3) ศาลทหารสูงสุด
เฉพาะศาลทหารชั้นต้น ยังแยกออกเป็น
(1) ศาลจังหวัดทหาร
(2) ศาลมณฑลทหาร
(3) ศาลทหารกรุงเทพ และ
(4) ศาลทหารประจำหน่วยทหาร ( มาตรา 7 )
ศาลประจำหน่วยทหารเป็นศาลทหารชั้นต้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาได้อย่างถาวร เพราะจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้มีการจัดตั้งขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ว่า
(1) มีหน่วยทหารปฏิบัติหน้าที่อยู่นอกราชอาณาจักร หรือกำลังเดินทางเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่นอกราชอาณาจักร
(2) หน่วยทหารนั้น มีกำลังทหารไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน
(3) ได้มีการอนุมัติให้ตั้งศาลประจำหน่วยทหารขึ้นมาตามกฎหมาย
ศาลประจำหน่วยทหารจึงมีความแตกต่างไปจากศาลทหารชั้นต้นอื่นตรงที่ว่า
(1) ศาลประจำหน่วยทหารเป็นศาลทหารที่ไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาในลักษณะเป็นการถาวร แต่เป็นศาลทหารที่จะต้องเคลื่อนที่ไปตามหน่วยทหารนั้นๆ ส่วนศาลทหารชั้นต้นอื่น ( ศาลจังหวัดทหาร ศาลมณฑลทหาร ศาลทหารกรุงเทพ) เป็นก่อตั้งขึ้นมาในลักษณะเป็นการถาวร
(2) ศาลประจำหน่วยทหารเป็นศาลทหารที่มีกำหนดเขตอำนาจโดยไม่อาศัยพื้นที่เช่นเดียวกับศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งแตกต่างไปจากศาลจังหวัดทหารและศาลมณฑลทหารที่กำหนดเขตอำนาจโดยอาศัยพื้นที่ แต่ทว่าศาลประจำหน่วยทหารกับศาลทหารกรุงเทพแตกต่างกันในเรื่องบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาล กล่าวคือ ศาลประจำหน่วยทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะบุคคลที่สังกัดหน่วยทหารนั้นๆ ตกเป็นจำเลย ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 7(3) ส่วนศาลทหารกรุงเทพ บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะตกเป็นจำเลยจะเป็นบุคคลที่สังกัดหน่วยทหารใดๆ ก็ได้
(3) ศาลประจำหน่วยทหารเป็นศาลทหารชั้นต้นที่กฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจพิจารณาคดีนอกราชอาณาจักรได้ ส่วนศาลทหารชั้นต้นอื่นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษานอกราชอาณาจักร
(4) แตกต่างกันในเรื่องผู้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และถอดถอนตุลาการศาลทหาร ดังนี้
(4.1) ผู้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และถอดถอนตุลาการศาลจังหวัดทหาร ได้แก่ ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาจังหวัดทหาร ( ผบ.จทบ. )
(4.2) ผู้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และถอดถอนตุลาการศาลมณฑลทหาร ได้แก่ ผู้มีอำนาจบังคับบัญชามณฑลทหาร ( ผบ.มทบ. )
(4.3) ผู้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และถอดถอนตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ได้แก่ รมว.กห.
(4.4) ผู้รับมอบพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และถอดถอนตุลาการศาลประจำหน่วยทหาร ได้แก่ ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยทหารนั้นๆ
5. คดีใดบ้างที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร จงอธิบาย?
ศาลทหารซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 สังกัดกระทรวงกลาโหม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ศาลทหารในเวลาปกติศาลทหาร และ
2. ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ( มาตรา 5 )
ศาลทหารในเวลาปกติ มีอำนาจ
1. พิจารณาพิพากษาวางบทลงโทษผู้กระทำผิดต่อกฎหมายทหารหรือกฎหมายอื่นในทางอาญา ในคดีซึ่งผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารขณะกระทำผิด
2. สั่งลงโทษบุคคลใดๆ ที่กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (มาตรา 13 )
สำหรับศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ถ้าผู้มีอำนาจประกาศกฎอัยการศึก ได้ประกาศตามอำนาจในกฎหมายว่าด้วยกฎหมายอัยการศึกให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอย่างใดอีก ก็ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาตามประกาศนั้นด้วย
6. คดีใดบ้างที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร จงอธิบาย ?
คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ได้กำหนดไว้ใน มาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร ดังนี้
(1) คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน เช่น ทหารกับพลเรือนร่วมกันลักทรัพย์ หรือทหารกับพลเรือนต่างขับรถด้วยความประมาทเฉี่ยวชนกันเป็นเหตุให้ผู้โดยสารที่นั่งมาในรถถึงแก่ความตาย ดังนี้ ถือเป็นการกระทำผิดด้วยกัน คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ต้องดำเนินคดีในศาลพลเรือน ตามมาตรา 15
(2) คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน เช่น พลทหาร ก. มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ แล้ว พลทหาร ก. ได้ใช้อาวุธปืนนั้นไปร่วมกับพวกซึ่งเป็นพลเรือนกระทำการปล้นทรัพย์ ดังนี้ คดีที่พลทหาร ก. มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร เพราะไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับพลเรือน ส่วนคดีที่พลทหาร ก. ไปร่วมกับพวกที่เป็นพลเรือนกระทำการปล้นทรัพย์ เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน กรณีคดีมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ต้องดำเนินคดีในศาลพลเรือน
(3) คดีที่ต้องดำเนินในศาลคดีเด็กและเยาชน ( ปัจจุบันคือศาลเยาวชนและครอบครัว) คดีดังกล่าวได้แก่ กรณีที่นักเรียนทหารกระทำความผิด ถ้าอายุในวันที่กระทำผิดยังไม่ครบสิบแปดปีบริบูรณ์ คดีไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารต้องดำเนินคดีในศาลคดีเด็กและเยาวชน ( ศาลเยาวชนและครอบครัว)
(4) คดีที่ศาลทหารเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร หมายความว่า คดีนั้นศาลทหารได้พิจารณาแล้ว และได้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารจะเนื่องจากกรณีใดก็ตาม กรณีดังกล่าวต้องดำเนินคดีในศาลพลเรือน
คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารนี้ ให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน และเมื่อศาลพลเรือนได้ประทับรับฟ้องไว้แล้ว แม้ปรากฏตามทางพิจารณาภายหลังว่า เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ศาลพลเรือนก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ ( มาตรา 15)
สั่งซื้อที่
ส่งเป็นไฟล์ทางอีเมล์ สนใจสั่งซื้อมาที่ โทร 085-0127724 Line : testthai1
สามารถนำไปปริ้นเพื่นอ่านได้เลย ในราคาเพียงส่ชุดละ 399 บาท ได้รับภายใน 2-3 ชม.
ส่ง EMS ทางไปรษณีย์ เป็นหนังสือ +MP3 ราคา 679 บาท ได้รับภายใน 2-3 วัน
กรุณาชำระค่าสินค้าและบริการ
เลขที่บัญชี 491-2-00428-2
ธ.กสิกรไทย ออมทรัพย์ ชื่อบัญชี decho pragay
ผลงานการสอบได้ของลูกค้า
ติดตามข่าวการสอบราชการที่ https://www.facebook.com/testthai1
ดาวน์โหลดแนวข้อสอบรับราชการที่นี่ www.ข้อสอบงานราชการไทย.com