ข้อสอบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
อัยการผู้ช่วย
ข้อ 1. ที่บุตรก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น บิดา มารดาจะต้องร่วมรับผิดด้วยเพียงใด
นาย ก ห้ามมิให้นาย ข บุตรอายุ 16 ปี นำรถยนต์ออกไปใช้ และเก็บลุกกุญแจรถยนต์เสีย เมื่อนาย ก ไม่อยู่ นาย ข ได้ลักลอบนำรถยนต์ออกไปขับเล่น โดยใช้ลูกกุญแจอื่น และแล้วนาย ข ขับรถไปชนรถผู้อื่นเสียหาย ดังนี้ นาย ก จะต้องร่วมรับผิดในความเสียหายนั้นด้วยหรือไม่?
ธงคำตอบ บิดา มารดา จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เฉพาะบุตรที่เป็นผู้เยาว์เท่านั้น ส่วนบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว บิดา มารดา หาต้องรับผิดด้วยไม่ แต่กรณีที่ บิดา มารดา ต้องร่วมรับผิดกับบุตรที่เป็นผู้เยาว์ดังกล่าวนั้น หาก บิดา มารดา พิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามความเหมาะสมแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย (ป.พ.พ.มาตรา 429) ตามอุทาหรณ์ บิดาไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย เพราะบิดาได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลแล้ว
ข้อ 2. นายแดงขอร้องด้วยวาจาให้นายสีซึ่งเป็นเพื่อนของนายแดงไปขอเช่าที่ดินของนายมาแห่งหนึ่งเนื้อที่ 200 ตารางวา เพื่อสร้างอาคารทำการค้า เมื่อนายสี มาขอเข่าตามคำร้องของนายแดงนายมาก็ตกลง และได้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันเองระหว่างนายแดงกับนายมา มีกำหนด 5 ปี โดยนายสีเป็นผู้ลงนามในสัญญาแทนนายแดง เมื่อเช่ากันมาได้เพียง 1 ปี นายมาไม่ยอมให้นายแดงเช่าต่อไป ดังนี้นายแดงจะมีสิทธิบังคับนายมาให้ปฏิบัติตามสัญญานั้นได้หรือไม่
ธงคำตอบ นายแดงไม่มีสิทธิบังคับให้นายมาปฏิบัติตามสัญญา เพราะการตั้งตัวแทนไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ (ป.พ.พ.มาตรา 538,798 วรรค 2 )
ข้อ 3. กรมหนึ่งในกระทรวงมหาดไทยได้ทำสัญญาจ้าง บริษัท ก จำกัด ทำโต๊ะ เก้าอี้ จำนวนหนึ่งเป็นเงินหนึ่งแสนบาท โดยแบ่งการรับเงินค่าจ้างเป็นงวดๆตามผลของงาน ผู้รับจ้างได้ทำโต๊ะ เก้าอี้ ส่งผู้จ้าง และได้รับเงินไป 2 งวด โดยถูกต้องแล้ว ต่อมาผู้รับจ้างทำผิดสัญญาทำให้ผู้จ่างได้รับความเสียหาย กรมผู้จ้างจึงบอกเลิกสัญญาแล้วส่งเรื่องให้อัยการพิจารณาฟ้องผู้รับจ้าสงเรียกค่าเสียหาย ในการสอบหลักฐานชั้นอัยการ ปรากฏจากกรมทะเบียนการค้าว่า บริษัท ก จำกัด ผู้รับจ้างมีวัตถุประสงค์ในการค้ารถยนต์และเป็นนายหน้าเท่านั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ซึ่งลงนามในสัญญาแทนกรมผู้จ้างดก็ลงนมโดยไม่มีอำนาจ เช่นนี้ กรมผู้จ้างจะมีสิทธิฟ้องผู้ใดหรือไม่ และผู้รับจ้างจะอ้างข้อต่อสู้ไดเพียงใด
ธงคำตอบ ข้อถามมีอยู่ 2 ข้อ คือ ถามว่ากรมผู้จ้างจะมีสิทธิฟ้องผู้ใดหรือไม่ และผู้รับจ้างจะอ้างข้อต่อสู้ได้เพียงใด ถ้าตอบว่ามีสิทธิหรือไม่มีสิทธิฟ้องผู้ใด ก็ให้อ้างเหตุผลในคำตอบข้อหลังไว้ในคำตอบข้อแรก กรมผู้จ้างฟ้องบริษัทฯไม่ได้ เพราะ บริษัทฯ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการทำเครื่องเรือนขายผู้แทนกระทำการนอกเหนือวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ บริษัทฯจึงไม่ต้องรับผิด
กรมผู้จ้างฟ้องผู้แทนบริษัทฯ ที่เข้าทำสัญญา กับ กรมได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76 วรรค 2 ผู้รับจ้างจะอ้างว่ากรมไม่มีอำนาจฟ้องเพราะผู้ลงนามไม่มีอำนาจไม่ได้ เพราะกรมได้รับผลแห่งสัญญา เป็นการให้สัตยาบันแล้ว ตามาตรา 823
ข้อ 4. ก ทำสัญญากู้เงิน ข โดยนำที่ดินของตน 2 แปลง ที่ตำบลบางเขนและตำบลพระโขนงซึ่งมีราคาแปลงละ 60,000 บาท จำนองเป็นประกันเงินกู้โดยมิได้ระบุลำดับ ต่อมา ก ได้มาทำสัญญากู้เงินจาก ค อีก 40,000 บาท โดยได้นำที่ดินที่ตำบลบางเขนจำนองซ้อนไว้กับ ค อีก เมื่อ ก ผิดนัดไม่ชำระหนี้ของ ข ข ได้บังคับจำนองจากที่ดินที่ตำบลบางเขน ได้เงินชำระหนี้ของ ข พอดีครั้นต่อมา ก ได้ผิดนัด ไม่ชำระหนี้เงินกู้แก่ ค กับได้มีเจ้าหนี้สามัญอื่นยึดที่ดินที่ตำลพระโขนง ค มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินตำบลพระโขนงเอาเงินชำระหนี้เงินกู้ก่อนเจ้าหนี้สามัญรายอื่นๆ หรือไม่เพียงไร และถ้าบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ค จะขอรับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของ ก จนครบจำนวนหนี้ได้หรือไม่ เพียงใด
ธงคำตอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 734 ค เข้ารับช่วงสิทธิการเป็นเจ้าหนี้จำนองของ ข เพียงเท่าจำนวนที่ ข จะพึงได้รับจากที่ดินที่จำนองทั้งสองแปลง โดยกระจายไปตามส่วนแห่งราคาทรัพย์สิน คือ มีสิทธิเข้าบังคับจำนองที่ดินตำบลพระโขนงก่อนเจ้าหนี้สามัญ แต่เอาชำระหนี้ได้เพียง 30,000 บาท ส่วนหนี้ที่เหลือ ค ไม่มีสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของ ก ได้ตามาตรา 733 เว้นแต่จะได้กำหนดไว้ในสัญญาจำนองว่าให้ ก ยังคงต้องรับผิดส่วนที่ขาด
ข้อ 5. ก เจ้าของสวนยางได้ทำสัญญาให้ ข เช่าสวนยางมีกำหนด 10 ปี โดยมีข้อกำหนดไว้ในสัญญาว่า ข ผู้เช่าจะต้องโค่นต้นยางเก่าออกทั้งหมด และปลูกต้นยางใหม่แทนที่ให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 3 ปี เมื่อ ข เช่าได้ 3 ปี ได้โค่นต้นยางเก่าและปลูกต้นยางใหม่เสร็จเรียบร้อยตาสัญญา ก เจ้าของสวนยางได้บอกเลิกสัญญาโดยอ้างว่า การเช่ามิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีผลใช้บังคับได้เพียง 3 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 538 ดังนี้ ข จะมีอำนาจฟ้องขอให้ ก จัดการจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้มีการกำหนดเช่า 10 ปี ตามสัญญาที่ได้ทำไว้หรือไม่
ธงคำตอบ ข มีอำนาจฟ้อง ก จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้เพราะสัญญาระหว่าง ก กับ ข เป็นสัญญาต่างตอบแทน มิใช่เป็นสัญญาเช่าธรรมดา การที่ ก ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ( ฎีกา 796/2495 )
ข้อ 6. ขาวได้รับมอบอำนาจจากนายเขียวให้เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายดำออกจากที่เช่าของเขียว ในที่สุดศาลได้พิพากษาให้ขับไล่ดำออกจากที่เช่า คดีถึงที่สุดแล้วแต่ระหว่างที่อยู่ในระหว่างดำเนินการบังคับคดีอยู่นั้น เขียวได้ถึงแก่กรรม ดังนี้ ขาวจะยังคงมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลได้หรือไม่
ธงคำตอบ ขาวยังมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีให้ปนไปตามคำพิพากษาของศาลได้จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของเขียวจะเข้ารับมรดกความ เพราะแม้สัญญาตัวแทนจะระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี แต่ตัวแทนก็ต้องจัดการ อันสมควรทุกอยางเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวการตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 ( ฎีกาที่ 896/2502 )
ข้อ 7. นายขาวกับนางเขียวได้ทำการสมรสเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ พ.ศ. 2470 แต่ไม่มีบุตรเนื่องจากนางเขียวเป็นหมัน นายขาวกับนางเขียวประสงค์ที่จะได้บุตรอันเกิดจากนายขาวไว้ ฉะนั้นเพื่อให้นายขาวได้สมรสกับนายแดง นายขาวกับนายเขียวจึงได้ตกลงกันทำหนังสือย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยาเมื่อ พ.ศ. 2498 โดยได้ระบุในหนังสือหย่าว่าได้ตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากที่ได้ทำหนังสือหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว นายขาวกับนางเขียวก็ยังอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตามเดิมตลอดมา และยังมิได้แบ่งทรัพย์สินกันอย่างใด
ในปี 2504 นายขาวได้มีบุตรอันเกิดจากนางแดง และเกิดทะเลาะวิวาทกับนางเขียว นายขาวไม่ประสงค์จอยู่กินเป็นสามีภรรยากับนางเขียวต่อไป จึงขอหย่าและขอให้จัดแบ่งทรัพย์สินดังนี้ นางเขียวจะอ้างว่าได้ขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน และได้แบ่งทรัพย์กันเรียบร้อยแล้วตามหนังสือสัญญาหย่าที่ได้ทำไว้เมื่อ พ.ศ. 2498 ได้เพียงใดหรือไม่
ธงคำตอบ นายเขียวอ้างว่าได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากับนายขาวแล้วได้เพราะการหย่าขาดเป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่นางเขียวจะอ้างว่าได้แบ่งทรัพย์สินกับนายขาวเรียบร้อยแล้วไม่ได้ เพราะความจริงยังมิได้แบ่งกัน
ข้อ 8. ก รับจ้างซ่อมรถยนต์ของ ข เมื่อซ่อมเสร็จจึงมอบให้ ค ลูกจ้างของตนขับรถไปให้ ข ที่บ้าน แต่ก่อนที่ ค จะนำรถยนต์ไปส่งมอบแก่ ข ค ได้ขับรถไปเที่ยวที่นครปฐม และโดยความประมาทเลินเล่อของ ค ได้ขับรถไปชนรถยนต์ของ ง ที่นครปฐม เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเสียหาย ดังนี้ ก จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อ ข และ ง เพียงไรหรือไม่
ธงคำตอบ ก ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อ ข ตาม ป.พ.พ. มาตรา 220 หรืออาจต้องรับผิดตามาตรา 425 แล้วแต่เหตุผลที่อ้าง ส่วนจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียกายแก่ ง หรือไม่นั้น ฟังเหตุผลของการแปลคำว่า “ ในทางการที่จ้าง ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425
ข้อ 9. ดำใช้อุบายหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินไปจากขาว แล้วปลอมหนังสือมอบอำนาจนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า ขาวได้มอบอำนาจให้ตนเป็นผู้ดอนขายมี่ดินให้แก่ดำเอง เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อ จึงได้ทำการโอนทะเบียนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของดำ ต่อมาดำได้นำที่ดินแปลงนี้ไปจำนองกับเขียวซึ่งได้รับจำนองไว้โดยสุจริต มีค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนการจำนองไว้ต่อพนักงานแล้ว ดังนี้ เขียวจะยกสิทธิตามสัญญาจำนองขึ้นต่อสู้กับขาวได้เพียงไรหรือไม่
ธงคำตอบ เขียวจะยกสิทธิตามสัญญาจำนองขึ้นต่อสู้กับขาวไม่ได้ เพราะการจำนองได้กระทำโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลอันเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม การจำนองจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 119 ทั้งนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ได้กระทำโดยสุจริตผิดกฎหมาย จึงต้องถือว่ามิได้มีนิติกรรมการโอยเกิดขึ้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของจาวอยู่
ข้อ 10. ก ได้ประกาศให้มีการยื่นประมูลเพื่อทำการก่อสร้างตึกแถวของ ก ปรากฏว่า ข เป็นผู้ยื่นประมูลในราคาต่ำสุด จึงเผยเป็นผู้ประมูลได้ ก ได้แจ้งผลการประมูลให้ ข ทราบแล้ว ข ตกลงรับทำการก่อสร้างตามที่ได้ยื่นประมูลไว้ และตกลงมาทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรภายในกำหนด 7 วัน แต่แล้ว ข ได้บิดพลิ้วไม่ยอมมาทำสัญญาภายในกำหนด เนื่องจากเห็นว่าตนได้ยื่นประมูลผิดพลาดไม่อาจรับทำการก่อสร้างในราคาที่ยื่นไว้ได้ ดังนี้ ก จะถือว่าสัญญารับเหมาก่อสร้างได้เกิดขึ้นตั้งแต่ ก ได้แจ้งให้ ข ทราบถึงผลการยื่นประมูล และฟ้องขอให้ปฏิบัติตามสัญญาได้หรือไม่
ธงคำตอบ ยังไม่ถือว่ามีสัญญาเกิดขึ้น เพราะได้มีข้อตกลงให้มาทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ก จึงฟ้อง ข ให้ปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ ( ป.พ.พ. 366 วรรค2 )
ข้อ 11. นายมาต้องกรเปิดร้านค้าขาย ได้ทำสัญญากู้เงินนายมีไปลงทุน 1,000 บาท และอนุญาตให้นายมีซื้อของเชื่อในร้านของตนได้ นายมีได้ซื้อของเชื่อไปจากร้านนายมาเป็นเงิน 1,000 บาท ต่อมานายมีได้มีหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องทีมีต่อนายมาตามสัญญากู้ไปให้นายคำ โดยมีหนังสือแจ้งการโอนหนี้รายนี้ไปให้นายมาทราบแล้ว ถ้านายคำแจ้งให้นายมามาชำระนี้ตามสัญญากู้ที่ได้รับโอนมา นายมาจะขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่นายมีซื้อของเชื่อไปได้หรือไม่
ธงคำตอบ ถ้านายมาให้ความยินยอมในการที่นายมีดอนหนี้ให้นายคำ โดยมีอิดเอื้อนนายมาจะขอหักกลบลบหนี้จากนายคำไม่ได้ แต่ถ้านายมาเพียงแต่ได้รับคำบอกกล่าวการโอนไม่ได้ให้ความยินยอมด้วย นายมาหักกลบลบหนี้ได้ ( ป.พ.พ. 308 , 341 )
ข้อ 12. นายสีฝานาฬิกาไว้กับนายสา ต่อมาอีกประมาณ 1 เดือนนายสีได้ตั้งนายสาเป็นตัวแทนขายรถยนต์ของนายสี โดยตกลงจะให้บำเหน็จในการเป็นตัวแทนขายรถยนต์ร้อยละ 10 ของราคาที่ขาย เมื่อนายสาขายรถยนต์ได้มอบเงินให้นายสีไปแล้ว นายสีไม่ยอมจ่ายค่าบำเหน็จให้นายสาตามที่ให้สัญญาไว้และทวงให้นายสาส่งนาฬิกาที่ฝากไว้คืน ดังนี้ นายสาจะยึดนาฬิกาไว้จนกว่านายสีจะจ่ายค่าบำเหน็จตามที่ตกลงกันได้หรือไม่
ธงคำตอบ นายสาจะยึดนาฬิกาไว้ไม่ได้เพราะนาฬิกาไม่ได้ตกอยู่ในความครอบครองของนายสาเพราะเป็นตัวแทน ( ป.พ.พ. มาตรา 819 )
ข้อ 13. นายดำและนายแดงเป็นพ่อค้า ในการซื้อเกี่ยวกับการค้านั้น นายดำเป็นลูกหนี้นายแดงอยู่ 2,000 บาท นายขาวเพื่อนของนายดำได้เอาแหวนเพชรของตนไปจำนำไว้กับนายแดงเป็นประกันหนี้รายนี้ ถ้าหนี้ที่นายดำเป็นหนี้นายแดงได้ขาดอายุความเพราะนายแดงมิได้ฟ้องขอให้ชำระเสีย ภายในกำหนดเวลา 2 ปี นายแดงจะบังคับจำนำโดยนำแหวนเพชรออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ที่นายดำเป็นลูกหนี้แทนจะได้หรือไม่
ธงคำตอบ นายแดงบังคับจำนำโดยเอาแหวนเพชรออกขายทอดตลาดได้ เพราะการที่หนี้จำนำเป็นประกันขาดอายความ ไม่ทำให้การจำนำระงับไป ( ป.พ.พ. 189 , 769 (1) )
ข้อ 14. นายจอนขอซื้อข้าวสารชนิดพิเศษจากนายจันมีอยู่ 10 กระสอบ ทั้งหมดอย่างหนึ่ง หรือขอซื้อเพียง 3 กระสอบจากจำนวน 10 กระสอบนั้นอีกอย่างหนึ่ง นายจันตกลงขายให้และตกลงกันว่านายจอนจะมารับเอาไปจากร้านของนายจันเองในวันรุ่งขึ้น ในคืนนั้นเองไฟไหม้ในย่านที่ร้านของนายจันตั้งอยู่ ไฟไกไหม้ลุกลามมาถึงร้านของนายจันและไหม้ข้าวสารทั้ง 10 กระสอบนั้นเสียหายใช้ไม่ได้ นายจอนจึงขอให้นายจันคืนเงินค่าข้าวสารครึ่งหนึ่งที่นายจอนชำระไปแล้วในวันตกลงซื้อให้ นายจันปฏิเสธทั้งยังได้เรียกร้องให้นายจอนชำระราคาที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้แก่นายจันด้วย ท่านเห็นว่าการปฏิเสธและข้อเรียกร้องของนายจันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ธงคำตอบ การซื้อขายข้าวสารทั้ง 10 กระสอบ เป็นการซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่งกรรมสิทธิ์จึงโอนไปยังนายจอนผู้ซื้อตั้งแต่เมื่อตกลงซื้อขายกัน ( ป.พ.พ. 458 , 460 ) ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์มิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของนายจันผู้ขาย จึงตกเป็นพับแก่นายจอนผู้ซื้อ ( ป.พ.พ. 370 วรรคแรก ) นายจอนไม่อาจเรียกร้องเอาค่าข้าวสารที่ชำระไปแล้บางส่วนคืนตนยังต้องชำระราคาที่ค้างอยู่ให้แก่ผู้ขายอีก การปฏิเสธและข้อเรียกร้องของนายจันชอบด้วยข้อกฎหมายดังกล่าวนี้
หากนายจอนซื้อเพียง 3 กระสอบ ผงทางกฎหมายจะผิดกันหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง หากข้อเท็จจริงได้ความว่า ได้มีการคัดเลือกหรือทำโดยวิธีใดเพื่อบ่งตัวทรัพย์ว่าเป็นข้าวสารกระสอบไหนแล้วกรรมสิทธิ์ในข้าวสารทั้ง 3 กระสอบ ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อ กรณีจึงเป็นไปเช่นเดียวกับข้อกฎหมายข้างต้น แต่ถ้าข้อเท็จจริงได้ความว่ายังไม่มีการคัดเลือกหรือแยกข้าวสาร 3 กระสอบออก กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจากผู้ขายภัยพิบัติจึงตกอยู่แก่นายจัน นายจันไม่อาจเรียกร้องให้นายจอนชำระราคาได้ และเงินที่ได้รับไว้แล้วก็ต้องคืนไป ( ป.พ.พ. มาตรา 460 วรรคแรก )
ข้อ 15. นายแดงเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นายดำ 30,000 บาท โดยมีนายขาวเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้รายนี้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ นายขาวได้ทราบว่า นาดำผิดนัดชำระหนี้และหลบหนีไป ไม่ทราบว่าไปอยู่แห่งใด นายขาวเองก็ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นพอที่จะนำมาชำระหนี้แก่นายแดงในฐานเป็นผู้ค้ำประกันได้ แต่นายเขียวญาตินายขาวเป็นลูกหนี้นายขาวอยู่ 20,00 บาทท นายขาวเห็นว่าแม้นายเขียวจะชำระหนี้แก่ตน นายแดงก็จะต้องบังคับเอาชำระหนี้ที่นายขาวได้ค้ำประกันไว้อย่างแน่นอน นายขาวจึงปลดหนี้ให้นายเขียวญาติของตนเสย ดังนี้ ถ้านายแดงมาปรึกษากับท่านถึงวิธีการเอาชำระหนี้รายนี้ท่านจะแนะนำนายแดงอย่างไร
ธงคำตอบ แม้นายขาวจะเป็นผู้ค้ำประกันก็ถือได้ว่าเป็นลูกหนี้ ( ฎีกาที่ 582/2483 ) จึงควรแนะนำให้นายแดงร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายขาวปลดหนี้ให้นายเขียวตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 เพราะการที่นายขาวได้ปลดหนี้ให้แก่นายเขียวเป็นการทำให้นายแดงเจ้าหนี้เสียเปรียบแล้วแนะนำให้นายแดงใช้สิทธิเรียกร้องเอาชำระหนี้จากนายเขียวในนามของตนเองแทนนายขาว ในเมื่อนายขาวขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง ( ป.พ.พ. มาตรา 233 )
ข้อ 16. เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2507 นายสียกที่ดินมีโฉนดให้แก่นายสาโดยเสน่หา กำหนดว่าจะไปดอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อนายสีได้หายป่วยแล้ว ระหว่างที่นายสียังไม่หายป่วยนี้ นายสาได้เข้ามาอยู่ในที่ดินยกให้ และได้ปลูกตึกกเป็นที่อยู่อาศัยบนที่ดิน 1 หลัง สิ้นค่าก่อสร้างไป 80,000 บาท พอปลูกบ้านเสร็จได้ 3 เดือน นายสีก็ถึงแก่กรรมเสียก่อนที่จะได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นายสา ดังนี้ที่ดินที่นายสีได้ยกให้นายสาและตึกที่นายสาได้ปลูกบนที่ดินนี้ตามกฎหมายจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสาหรือทายาทของนายสีโดยสมบูรณ์ หรือภายใต้เงื่อนไขอย่างใด
ธงคำตอบ ที่ดินที่นายสียกให้นายสาตกเป็นกรรมสิทธิอ์แก่ทายาทของนายสี เพราะสัญญษให้ที่ดินนี้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมไม่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525 ส่วนตึกนั้นเป็นกรรมสิทธิ์แก่ทายาทของนายสีตาม ป.พ.พ. มาตรา 107 ภายใต้บังคับมาตรา 1310 หรือ 1311 แล้วแต่ว่านายสาได้ปลุกสร้างลงโดยสุจริตหรือไม่สุจริต ( ฟังเหตุผลประกอบคำตอบ )
ข้อ 17. นายมีกู้เงินนายมาไป 60,000 บาท โดยนำบ้านของตนไปจำนองเป็นประกันหนี้รายนี้ ต่อมานายีเดินทางไปค้าขายที่ประเทศลาว จึงได้ให้นายมั่นเป็นผู้ดูแลบ้าน ระหว่างที่นายมียังค้าขายอยู่ที่ประเทศลาวนั้นบ้านของนายมีถูกพายุพัดพัง นายมั่นจึงได้จัดการสร้างจ้างช่างมาซ่อมแซมบ้านนายมี สิ้นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบ้านไป 5,000 บาท เนื่องจากการค้าขายของนายมีที่ประเทศลาวไม่ได้ผล นายมีจึงไม่มีทรัพย์สินที่จะนำมาชำระแก่นายมา และนายมั่น นายมาจึงได้บังคับจำนองบ้านของนายมีแต่ขายทอดตลาดได้เงินเพียง 4,00 บาท ไม่พอชำระหนี้ ดังนี้นายมั่นจะมีทางเอาชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการบังคับจำนองเพียงใดหรือไม่
ธงคำตอบ นายมั่นเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 274 ดังนั้น ถ้านายมั่นได้ไปจดทะเบียนไว้เมื่อทำการซ่อมบ้านนายมีเสร็จแล้ว นายมั่นก็เอาชำระหนี้ได้ก่อนนายมา แต่ถ้านายมั่นมิได้ไปจดทะเบียนไว้ก็เอาชำระหนี้ไม่ได้ ( ป.พ.พ. มาตรา 285 , 287 )
ข้อ 18. นายเหลืองเป็นลุกหนี้นายเขียว โดยมีนายม่วงเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมานายเหลืองผิดนัดไม่ชำระหนี้นายเขียวจึงฟ้องนายเหลืองและนายม่วงเป็นจำเลย ศาลพิพากษาให้นายเหลืองชำระหนี้แก่นายเขียว ถ้าไม่ชำระก็ให้นายม่วงซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระแทนจนครบ ก่อนที่จะชำระหนี้ นายเหลืองได้ถึงแก่กรรมและไม่มีทรัพย์ที่จะชำระหนี้ได้ ถ้านายเขียวได้ขอชำระหนี้จากนายม่วง เมื่อหลังจากที่นายเหลืองได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว 2 ปี นายม่วงจะอ้างว่านายเขียวได้ขอให้ชำระหนี้เมื่อขาดอายุความมรดกแล้วตนซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิดด้วย ข้อมูลต่อสู้ของนายม่วงนี้จะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่
ธงคำตอบ นายม่วงจะยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ไม่ได้ เพราะนายม่วงต้องรับผิดในฐานะเป็นลุกหนี้ตามคำพิพากษาไม่เกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ำประกัน ( ฎีกาที่ 605/2485 )
ข้อ 19. ข ตกลงขายที่ดินของ ข ซึ่งมีเนื้อที่ 1 ไร่ ราคาตารางวาละ 1,100 บาท เป็นเงิน 400,000 บาท ให้แก่ ก โดย ก ยินยอมวางเงินมัดจำให้ ข ไว้ในวันตกลงซื้อขายกันนี้เป็นเงิน 10,000 บาท ในวันรุ่งขึ้นจึงได้ทำสัญญาจะซื้อขายกัน กำหนดจดทะเบียนดอนกรรมสิทธิ์และชำระเงินที่เหลือภายใน 30 วัน ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายกันนั้น ข เห็นที่ดินของ ข ซึ่งเป็นทางเดินเข้าหลังที่ดินแปลงที่ซื้อขายนี้เก็บไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์ ข จึงตกลงกำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อขายด้วยว่า ข ยอมยกที่ดินซึ่งเป็นทางเดินด้านหลังของตนให้แก่ ก ด้วย โดยจดทะเบียนดอนกรรมสิทธิ์พร้อมกันในวันจดทะเบียนทำสัญญาซื้อขายแต่แล้ว ข “ บิดพลิ้ว ” ไม่ยอมขายและดอนที่ดินให้แก่ ก ตามที่ได้ทำสัญญาไว้ ดังนี้ ก จะฟ้อง ข ให้ปฏิบัติตามสัญญานี้ได้เพียงใดหรืไม่
ธงคำตอบ ก ฟ้อง ข ให้ขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายได้ เพราะได้วางเงินมัดจำไว้แล้ว ( ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง ) แต่ไม่อาจฟ้องขอให้ศาลบังคับให้ ข จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทางเดินที่ ข ยกให้ได้ เพราะการให้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่สมบูรณ์ ( ป.พ.พ. มาตรา 525 , 526 )