เอกสารชุดที่ 4 หลักการเขียนเรียงความ
1. ลักษณะของย่อหน้าที่ดี
1.1 มีเอกภาพ มีใจความสำคัญเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น กำหนดจุดมุ่งหมายเป็นประโยคใจความสำคัญ
เนื้อหาสาระของข้อความที่นำมาเขียนขยายนั้นต้องมีใจความเป็นเรื่องเดียวกันกับประโยคใจความสำคัญ
1.2 มีความสมบูรณ์ ส่วนต่างๆ ประสานเข้าหากันไม่มีส่วนใดขาดตกบกพร่อง ต้องเขียนอย่างมีจุดมุ่งหมาย
มีเนื้อหาสาระ มีรายละเอียด ส่วนขยายที่ชัดเจนไม่ออกนอกเรื่อง (ต้องเกี่ยวข้องกับใจความสำคัญเท่านั้น)
ได้เนื้อความบริบูรณ์
1.3 มีสัมพันธภาพ ข้อความหรือประโยคแต่ละประโยคที่เรียงต่อกันนั้น
มีความเกี่ยวเนื่องติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน จัดลำดับความคิดให้เป็นประโยคต่อเนื่องกันด้วยเนื้อหา
โดยอาจจัดลำดับความคิดตามเวลา (เหตุการณ์ก่อนหลัง) ตามพื้นที่
(ใกล้ไปหาไกล/ข้างบนไปหาข้างล่าง/ซ้ายไปขวา/เหนือไปหาใต้) จากคำถามไปสู่คำตอบ (คำถามไว้เป็นประโยคแรก
แล้วจัดหาประโยคขยายตามลำดับเพื่อให้ได้คำตอบเป็นผลลัพธ์ตอนท้ายของย่อหน้า) จากรายละเอียดไปสู่ข้อสรุป
(หรือจากข้อสรุปไปสู่รายละเอียด) และจากเหตุไปสู่ผล
1.4 มีสารัตถภาพ ย้ำเน้นใจความสำคัญเพื่อให้ผู้อ่านทราบเจตนา
โดยอาจวางตำแหน่งประโยคใจความสำคัญในตอนต้นหรือตอนท้ายของย่อหน้า การย้ำเน้นด้วยคำวลีหรือประโยคซ้ำๆ
กันบ่อยๆ ภายในย่อหน้า
(ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายหรือความคิดสำคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารถึงผู้อ่าน)
รวมถึงการย้ำเน้นอย่างมีสัดส่วน
1.5 ใช้คำเชื่อมได้อย่างเหมาะสม (คำสันธานหรือวลี) ทำให้ข้อความสละสลวย ไม่ใช้ซ้ำซาก
ใช้ภาษาถูกต้องตามแบบแผน ใช้ภาษาระดับเดียวกัน ไม่ใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ อ่านแล้วไม่ติดขัด
เหมือนได้อ่านเรียงความสั้นๆ หนึ่งเรื่อง
2. การเขียนประโยคใจความสำคัญเป็นย่อหน้า
2.1 ให้คำจำกัดความ อธิบายคำหรือวลีให้ผู้อ่านเข้าใจ
2.2 ให้รายละเอียด เพื่อให้ได้ย่อหน้าที่เนื้อหาสาระมีความสมบูรณ์
2.3 ยกตัวอย่าง ทำให้เข้าใจความคิดสำคัญหรือประโยคใจความสำคัญได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
2.4 เปรียบเทียบ การเปรียบเทียบสิ่งใดสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่ง
หรืออาจจะเป็นในลักษณะอุปมาโวหารหรือยกเป็นอุทาหรณ์
2.5 แสดงเหตุและผล เหมาะสำหรับงานเขียนที่ต้องการวิเคราะห์วิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็น
3. การเขียนคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
3.1 คำนำ เป็นส่วนแรกของงานเขียนที่จะสร้างความน่าสนใจ
ดึงดูดและท้าทายให้ผู้อ่านอยากรู้อยากอ่านข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นต่างๆ
ที่ผู้เขียนรวบรวมมาเสนอในเนื้อเรื่อง
เพราะคำนำที่ดีจะทำให้ผู้อ่านทราบได้ตั้งแต่ต้นว่ากำลังจะได้อ่านเกี่ยวกับอะไร
ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเขียนคำนำให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่าน
สอดคล้องกับจุดประสงค์ในการเขียนและการเสนอเนื้อเรื่อง ประกอบกับการใช้ศิลปะการเขียนเฉพาะตน
กลวิธี: เรื่องส่วนรวมไปสู่เรื่องเฉพาะ / มุ่งตรงสู่เรื่อง / ความนำที่ตรงกันข้ามและเป็นปัญหาให้คิด /
ให้คำจำกัดความ / บอกเจตนาหรือจุดประสงค์ในการเขียน / เล่าเรื่องหรือเล่าถึงความเป็นมาพื้นฐานของเรื่อง
/ ข่าว เหตุการณ์ ปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเป็นที่สนใจ / ข้อมูล สถิติ ข้อเท็จจริง / สุภาษิต คำคม บทกวี
คำกล่าวของบุคคลสำคัญ / คำถาม / กล่าวถึงบุคคลที่ต้องการเขียนถึง /
กล่าวถึงจุดเด่นที่น่าสนใจของสิ่งที่จะเขียนต่อไป
3.2 เนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของงานเขียน
เนื่องจากเป็นส่วนที่รวบความคิดและข้อมูลทั้งหมดที่ผู้เขียนค้นคว้ารวบรวมมาเสนออย่างมีระเบียบ มีระบบ
และเป็นขั้นตอน ทำให้ผู้อ่านรับรู้และเข้าใจสาระสำคัญทั้งหมดได้อย่างแจ่มแจ้ง
กอปรไปด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงกันตลอด
3.2.1 รวบรวมข้อมูล ความคิด ประสบการณ์ ข้อเท็จจริง
3.2.2 วางโครงเรื่องให้สอดคล้องกับประเด็นที่จะนำเสนอ
3.2.3 นำหัวข้อต่างๆ มาเขียนขยายความให้เป็นย่อหน้าที่ดี
3.2.4 มีประเด็นมากพอให้ผู้อ่านสนใจ
3.2.5 ต้องใช้ท่วงทำนองการเขียนให้สอดคล้องกับลักษณะเนื้อหา ตรงตามวัยความสนใจของผู้อ่าน
3.3 การสรุป เป็นการบอกให้ผู้อ่านทราบว่าข้อมูลทั้งหมดที่เสนอมาได้จบลงแล้ว (ในย่อหน้าที่ผ่านมา)
จะเป็นช่วยย้ำให้ผู้อ่านทราบว่างานเขียนที่ได้อ่านมีจุดมุ่งหมายอย่างไร
ได้ข้อคิดหรือแนวทางอะไรเพิ่มเติมจากการอ่านครั้งนี้บ้าง
ที่สำคัญคือการสรุปจะต้องมีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่องตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียนจึงจะทำให้ผู้อ่านเกิด
ความประทับใจ
กลวิธี: แสดงความเห็นของผู้เขียน (เห็นด้วย ขัดแย้ง เสนอแนะ ชักชวน ฯลฯ) / สดุดีเกียรติคุณ คุณประโยชน์
/ คำถามที่ชวนให้ผู้อ่านคิดหาคำตอบหรือตอบคำถามที่ตั้งไว้ในคำนำ / กล่าวถึงข้อดี ข้อบกพร่อง
หรือเสนอแนะให้เห็นประโยชน์ / ให้กำลังใจแก่ผู้อ่าน / สาระสำคัญที่ต้องการให้ผู้อ่านทราบ / บทกลอน คำคม
สุภาษิต ข้อความ หรือคำพูดของบุคคลสำคัญ
ตัดตอนและสรุปจาก:
ราตรี ธันวารชร, “การเขียนย่อหน้า” และ เจียรนัย ศิริสวัสดิ์, “การเขียนคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป” ใน
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, การใช้ภาษาไทย 1. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543. หน้า 80-92 และ 105-112
เอกสารชุดที่ 5 วิธีการตอบข้อสอบอัตนัย
1. ข้อสอบที่มุ่งให้อธิบาย
วัตถุประสงค์ มุ่งให้อธิบายวิธีการหรืออธิบายความรู้ในเรื่องต่างๆ
ลักษณะคำถาม ให้คำจำกัดความ / ให้รายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริง / ให้เปรียบเทียบ : “คืออะไร” /
“มีความหมายว่าอย่างไร” / “จงอธิบาย” / “จงเปรียบเทียบ”
ขั้นตอนการตอบ
1) พิจารณาลักษณะของคำถามว่ามุ่งให้ตอบในประเด็นใด
2) รวบรวมความรู้ที่เป็นข้อมูลสำคัญซึ่งอาจได้จากการอ่าน การฟัง การสังเกต และการศึกษาค้นคว้า
3) จัดระเบียบความรู้ความคิดให้เป็นหมวดหมู่แล้วเรียบเรียงความคิดนั้นตามลำดับ
4) อาจมีตัวอย่าง เหตุผล หลักฐานอ้างอิง หรือการเปรียบเทียบตามความจำเป็น
5) ต้องเรียบเรียงถ้อยคำให้เข้าใจง่าย น่าสนใจ น่าอ่าน และลำดับความคิดให้ต่อเนื่องกัน
อย่าให้วกวนสับสน
แนวการตอบ
1) การให้คำจำกัดความ อธิบายให้สั้นรัดกุมและชัดเจน
2) การยกตัวอย่าง ช่วยให้การอธิบายชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น
3) การเปรียบเทียบ ลักษณะที่เหมือนกันหรือลักษณะที่แตกต่างกัน
บางครั้งอาจต้องบอกข้อดีข้อเสียของสิ่งที่นำมาเปรียบกันเพื่อให้คำตอบกระจ่างชัด
ในบางกรณีสิ่งที่อธิบายนั้นมีลักษณะเข้าใจยาก ผู้ตอบอาจต้องเปรียบเทียบกับสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย
4) การแสดงเหตุผล แสดงว่าอะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นผล
อาจตอบอธิบายจากผลไปสู่สาเหตุหรือจากสเหตุไปสู่ผลก็ได้
5) การอธิบายตามลำดับขั้น ถามเกี่ยวกับกรรมวิธีหรือกระบวนการที่มีขั้นตอน
2. ข้อสอบที่มุ่งให้แสดงความคิดเห็น
วัตถุประสงค์ ต้องการให้ผู้ตอบใช้เหตุผลและหลักฐานอ้างอิงประกอบ
เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นของตนน่าเชื่อถือหรือน่านำไปปฏิบัติได้
ลักษณะคำถาม “เห็นด้วยหรือไม่” / “จงแสดงความคิดเห็น” / “ทำไม”
องค์ประกอบของข้อสอบ
1) เรื่อง อ่านคำถามให้เข้าใจและพยายามจับประเด็นให้ได้ว่า
ต้องเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องอะไร
แต่ถ้าลักษณะข้อสอบเป็นการตัดตอนข้อความหรือหยิบยกเรื่องราวมาประกอบคำถาม
เพื่อให้อ่านและแสดงความคิดเห็น
ผู้ตอบจำเป็นต้องจับใจความสำคัญและตีความเพื่อจับประเด็นสำคัญจากเรื่องให้ได้ครบถ้วนก่อนแล้วจึงตอบคำถาม
หรือเสนอความคิดเห็นของตน
2) ข้อมูลหรือความรู้ที่จำเป็น ต้องมีความรู้ความเข้าในในเรื่องที่ตนเสนออย่างแจ่มแจ้ง
และสามารถเลือกใช้ข้อมูลได้อย่างเหมาะสม
อาจจะเป็นได้ทั้งข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วและข้อคิดเห็นของผู้อื่นซึ่งผู้ตอบใช้อ้างอิง
สิ่งสำคัญก็คือควรเลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อได้ เพราะข้อมูลที่จะนำมาใช้ต้องถูกต้องและชัดเจน
3) เหตุผล มุ่งให้เกิดความคล้อยตามและยอมรับ
เหตุผลที่อ้างอิงอาจได้จากข้อเท็จจริงที่ศึกษามาหรือเป็นประสบการณ์ก็ได้ ควรจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ไม่ควรปล่อยให้อารมณ์หรืออคติครอบงำ เพราะจะทำให้ข้อเขียนขาดความเที่ยงตรงได้
4) หลักฐาน มี 2 ประเภท ได้แก่ หลักฐานทางตรง
(ได้จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองจึงเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด) และหลักฐานทางอ้อม
(ได้จากเอกสารหรือคำบอกเล่าของผู้อื่น ซึ่งต้องอาศัยการตีความประกอบแต่ก็เป็นที่นิยมกันมาก)
อาจปรากฏในรูปต่างๆ เช่น ข้อเท็จจริง สถิติ ตัวเลย ตัวอย่างเหตุการณ์
ขั้นตอนการตอบ
1) สังเกตคำถามและพยายามจับประเด็นสำคัญจากคำถามว่า
ข้อสอบมุ่งให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดในแง่มุมใดบ้าง
2) ผู้ตอบต้องบอกได้ว่าตนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องหรือข้อความที่ได้อ่านอย่างไร ต้องการสนับสนุน
(ควรชี้ให้เห็นคุณประโยชน์หรือผลดี) หรือโต้แย้ง (ต้องชี้ข้อบกพร่องหรือผลเสีย) ก็เขียนให้ชัดเจน
หากในข้อความที่อ่านมีการเสนอความคิดเห็นมาก่อน
ผู้ตอบต้องพยายามสนับสนุนหรือหักล้างความเห็นเหล่านั้นด้วยเหตุผลและหลักฐานให้ความถ้วนทุกประเด็น
กรณีที่ข้อความนั้นมีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น
ผู้ตอบอาจจะเห็นคล้อยตามความคิดเห็นบางประเด็นและขัดแย้งบางประเด็นก็ได้
ควรเขียนเสนอให้ชัดเจนว่าเห็นด้วยกับประเด็นใดและไม่เห็นด้วยกับประเด็นใดพร้อมทั้งชี้แจ้งเหตุผลด้วย
3) เสนอความคิดเห็นใหม่ๆ ของผู้ตอบเอง เขียนได้อย่างอิสระ
แต่ถ้าเป็นการกำหนดข้อความหรือเรื่องราวมาแล้ว
สิ่งที่ผู้ตอบพึงระวังก็คืออย่าเสนอความคิดเห็นซ้ำซ้อนกับความคิดที่มีปรากฏอยู่แล้วในคำถามโดยไม่ได้เสนอ
ความคิดเห็นใหม่ๆ ที่เป็นของตนเพิ่มเติม
ไม่เพียงแต่ต้องใช้เหตุผลและหลักฐานอ้างอิงเพื่อเสริมให้ความคิดเห็นนั้นน่าเชื่อถือเท่านั้น
แต่ต้องจัดลำดับความคิด เพราะการรู้จัดจัดวางข้อมูล อ้างอิงเหตุผลและหลักฐานอย่างเป็นระบบ
จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจและเกิดความเห็นคล้อยตามได้ง่าย
4) สรุปประเด็นเกี่ยวกับความคิดเห็นที่สำคัญซึ่งต้องการเสนอไว้ตอนท้ายเรื่อง
เพื่อให้คำตอบสมบูรณ์และยังเป็นการย้ำให้ผู้อ่านได้นำข้อคิดไปพิจารณาใคร่ครวญต่อไป
5) ผู้ตอบสามารถเลือกตอบได้ 2 ลักษณะ คือ ลักษณะแรกเป็นการเขียนความเรียง (คำนำ ส่วนเนื้อเรื่อง
และส่วนสรุป) ใช้ในกรณีที่เป็นการเขียนเสนอความคิดเห็นที่มีหลายประเด็น
ต้องอ้างอิงเหตุผลหลายประการเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเห็นคล้อยตาม อีกลักษณะหนึ่งคือ
การเขียนแสดงความคิดเห็นโดยตรง มุ่งตอบตำถามให้ตรงประเด็น “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย”
ต้องแสดงความเห็นให้ชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องมีอารัมภบท แต่ควรสรุปในตอนท้ายอีกครั้งเพื่อย้ำประเด็นสำคัญ
3. ข้อสอบที่มุ่งให้อภิปราย
วัตถุประสงค์ ผู้ตอบต้องแยกแยะประเด็นของเรื่องที่จะเขียนอภิปรายได้ชัดเจน
และวิเคราะห์ได้ครบถ้วนทุกประเด็น ต้องชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสีย สาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหา
ตลอดจนข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์
ลักษณะคำถาม “จงอภิปราย”
องค์ประกอบของข้อสอบ
1) เรื่อง มี 2 ลักษณะ คือ
ก. เรื่องที่เป็นข้อมูลทั่วๆ ไป เพื่อให้ผู้ตอบได้เสนอทัศนะและข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวหลายๆ
ด้านพร้อมทั้งเหตุประกอบ
ในขณะเดียวกันการได้อ่านนานาทัศนะย่อมทำให้ผู้อ่านมีความรู้และมีทัศนะที่กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ข. เรื่องที่เป็นปัญหาในสังคม ซึ่งผู้ตอบต้องการให้ผู้อ่านเปลี่ยนทัศนะหรือเปลี่ยนนโยบายใหม่
มักเป็นปัญหาส่วนรวมที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือแก้ไข ทั้งยังมุ่งพิจารณาปัญหาเรื่องนั้นๆ
ทุกด้านเพื่อหาข้อสรุป และแนวทางปฏิบัติที่ก่อให้เกิดผลดี
2) ข้อมูล หรือความรู้ที่ได้จากหลักฐานหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่อภิปราย
3) ความคิดเห็นของผู้ตอบ
ควรเสนอความคิดเห็นที่แปลกใหม่นอกเหนือจากข้อมูลที่ได้จากความคิดเห็นของผู้อื่น
4) ข้อเสนอแนะ เสนอแนวทางในการปฏิบัติ หรือวิธีแก้ไขปัญหาที่น่าสนใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
5) เหตุผล ช่วยเพิ่มน้ำหนักทำให้คำตอบน่าสนใจยิ่งขึ้น
เหตุผลที่ใช้ในการเขียนอภิปรายจะมีทั้งเหตุผลประกอบความคิดเห็นและเหตุผลประกอบข้อเสนอแนะ
6) หลักฐานอ้างอิง ใช้สนับสนุนการเสนอเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องที่อภิปรายให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการตอบ
1) อารัมภบท นำเข้าสู่เรื่อง เนื้อหาส่วนนี้จะเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ความสำคัญ
หรือความเป็นมาของเรื่องที่จะเขียนอภิปราย
ในกรณีที่เป็นการเขียนอภิปรายปัญหาส่วนรวมผู้ตอบอาจจะกล่าวถึงผลกระทบจากปัญหานั้น
2) เนื้อเรื่อง ในการนำเสนอผู้ตอบจำเป็นต้องแยกแยะประเด็นต่างๆ อย่างชัดเจน
ถ้าเป็นการเขียนอภิปรายปัญหาส่วนรวม ควรเสนอสาเหตุของปัญหา วิธีแก้ไข รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ
ให้ครบถ้วน
ควรพิจารณาปัญหาทุกด้านอย่างรอบคอบ
การเขียนอภิปรายแต่ละประเด็นต้องละเอียดมีเหตุผลมีหลักฐานอ้างอิงเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจปัญหาและรู้จักวิธ
ีแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ส่วนการใช้ข้อมูลประกอบอาจเขียนอ้างอิงโดยการให้รายละเอียด การยกตัวอย่าง
หรือการเปรียบเทียบเพื่อให้เกิดความคิดเห็นคล้อยตามได้ง่าย
3) ข้อเสนอแนะในช่วงท้ายของเนื้อเรื่อง อาจจะเป็นข้อคิดหรือแนวทางแก้ไขปัญหาอันเป็นประโยชน์เพิ่มเติม
ในการเขียนอภิปรายมักมีประเด็นที่ต้องกล่าวถึงมากมาย
ดังนั้นผู้ตอบจึงควรจัดลำดับข้อความให้เหมาะสมตามหลักการใช้เหตุผลและจัดเป็นประเด็นใหญ่ประเด็นย่อยให้ชั
ดเจน ประเด็นใดมีความสำคัญควรกล่าวถึงก่อน ส่วนประเด็นที่สำคัญรองลงมาก็กล่าวถึงในลำดับถัดไป
ส่วนการเขียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาส่วนรวม มีวิธีจัดลำดับประเด็นที่น่าสนใจ 2 วิธี คือ วิธีแรก
กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาทั้งหมด ต่อจากนั้นจึงเสนอวิธีแก้ไขปัญหานั้นทุกปัญหา ส่วนวิธีที่สอง
เป็นการเสนอสาเหตุของปัญหากับวิธีแก้ไขปัญหาเป็นข้อๆ ไปจนกระทั่งพิจารณาปัญหาได้ครบทุกข้อ
การรู้จักลำดับประเด็นจะช่วยให้ผู้อ่านไม่สับสนและสามารถอ่านข้อเขียนได้เข้าใจยิ่งขึ้น
4) บทสรุป ควรย้ำประเด็นสำคัญที่ต้องการเสนอหรือชี้ให้เห็นว่า
ถ้าสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่เสนอแนะได้ย่อมก่อให้เกิดผลดี
5) สิ่งสุดท้ายที่ผู้ตอบควรคำนึงก็คือ การจัดสัดส่วนของเนื้อหาให้เหมาะสม
ส่วนที่เป็นเนื้อเรื่องค้องมีมากกว่าส่วนที่เป็นคำนำและบทสรุป
4. ข้อเสนอแนะในการตอบข้อสอบอัตนัย
1) ก่อนตอบข้อสอบทุกครั้ง จะต้องอ่านคำถามแล้วตีความคำถามนั้นให้กระจ่างว่า ถามเรื่องอะไร มีกี่ประเด็น
ลักษณะคำถามมุ่งให้อธิบาย แสดงความคิดเห็น หรืออภิปราย
2) ระดมความรู้ ความคิด เหตุผล เพื่อตอบให้ตรงคำถาม
3) วางโครงเรื่อง เพื่อจัดระเบียบเนื้อเรื่องเป็นขั้นตอนและเพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็นของคำถาม
4) เรียบเรียงและจัดลำดับความคิดในแต่ละย่อหน้าให้เหมาะสม
5) ควรนำเหตุผล ตัวอย่าง หลักฐาน ข้อเท็จจริง หรือประสบการณ์
ความรู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาประมวลกันเข้าเพื่อให้คำตอบนั้นมีความสมบูรณ์มากที่สุด
6) การใช้ภาษา ในการตอบข้อสอบต้องใช้ภาษาแบบแผนหรือกึ่งแบบแผน ไม่ควรใช้ภาษาปาก อักษรย่อหรือตัดคำ
และต้องใช้คำที่สื่อความหมายตรง สั้น กระชับ แต่ได้ใจความ
นอกจากนี้ในการตอบข้อสอบประเภทแสดงความคิดเห็นและอภิปราย
ควรใช้ภาษาโน้มน้าวใจผู้อ่านให้คล้ายความคิดของผู้ตอบด้วย
7) ควรเขียนทวนคำถามเสียก่อนแล้วจึงตอบ ยกเว้นการตอบข้อสอบที่มุ่งให้อภิปรายเป็นความเรียง
ควรเขียนด้วยหมึกสีเข้ม ใช้ลายมือที่อ่านง่าย ไม่ควรมีรอยขูด ลบ ขีดฆ่า ถ้าจำเป็นก็ทำอย่างเรียบร้อย
9) ต้องคำนึงถึงเวลาซึ่งมีจำกัด ควรแบ่งเวลาให้ถูกจะได้ตอบครบทุกข้อ
10) ควรตรวจทาน ถึงแม้จะวางแผนการเขียนตอบอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม
แต่การตรวจทานจะช่วยให้เพิ่มเติมข้อความหรือแก้ไขข้อบกพร่องทั้งด้านเนื้อหาและการใช้ภาษาซึ่งรวมทั้งเรื่
องตัวสะกดด้วย
สั่งซื้อที่
ส่งเป็นไฟล์ทางอีเมล์ สนใจสั่งซื้อมาที่ โทร 085-0127724 Line : testthai1
สามารถนำไปปริ้นเพื่นอ่านได้เลย ในราคาเพียงส่ชุดละ 399 บาท ได้รับภายใน 2-3 ชม.
ส่ง EMS ทางไปรษณีย์ เป็นหนังสือ +MP3 ราคา 679 บาท ได้รับภายใน 2-3 วัน
กรุณาชำระค่าสินค้าและบริการ
เลขที่บัญชี 491-2-00428-2
ธ.กสิกรไทย ออมทรัพย์ ชื่อบัญชี decho pragay
[font=arial ]ผลงานการสอบได้ของลูกค้า
ติดตามข่าวการสอบราชการที่ https://www.facebook.com/testthai1
ดาวน์โหลดแนวข้อสอบรับราชการที่นี่ www.ข้อสอบงานราชการไทย.com