ข้อโต้แย้งที่เกิดจากตัวบุคคลที่ได้รับการ Sponsor ที่มักจะเป็นข้ออ้างเวลาที่ไม่อยากทำธุรกิจ
1.ไม่ว่างเลย ไม่มีเวลา
อย่างที่บอกไปตอนแรกแล้วว่าการจะปฏิเสธแล้วอ้างว่าไม่อยากทำจริงๆ สิ่งที่ตอบง่ายที่สุด คือตอบไปว่า ช่วงนี้ไม่ว่าง ไม่มีเวลา ติดงาน ติดเรียน หรือ ติดอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเวลา คือการปฏิเสธที่ง่ายที่สุด ลองคิดถึงตัวเราเองดูซิถ้าตอนนี้มีคนที่เราเกรงใจมาชวนเราไปทำอะไรที่เราไม่อยากทำ เราจะปฏิเสธว่าอย่างไร เราคงตอบไปว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างครับ/ค่ะ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินข้อโต้แย้งว่า ไม่ว่าง เราควรคิดดูว่า เรารู้จักคนที่เราคุยด้วยนี้มากน้อยขนาดไหน แล้วลองนึกดูว่าจริงๆแล้วเค้ายุ่งหรือไม่มีเวลาจริงหรือเปล่า
ถ้าเค้าเป็นคนที่ทำงานประจำ 8 โมง เลิก 5 โมง เย็น แล้วหยุด เสาร์ อาทิตย์ หรือ หยุด วันอาทิตย์วันเดียว สิ่งที่คุณอาจถามเพิ่ม คือ แล้วปกติ หลังเลิกงานหรือ เสาร์ อาทิตย์ มีทำ OT หรือมี Job พิเศษเพิ่มเติม หรือ เรียนต่อ อยู่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือไม่มี คุณคิดว่าเค้ายุ่ง หรือไม่มีเวลาจริงหรือเปล่าละ แสดงว่าแค่นี้คุณก็รู้ละว่าเค้าอ้างเพราะไม่อยากทำแล้ว แสดงว่าเรื่องเวลาคุณก็คงไม่ต้องตอบให้คนนี้ฟังเพราะลักษณะนี้แหละที่เรียกว่าข้ออ้าง
ถ้าเป็น นศ. แล้วบอกว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลา เรียนหนัก ก็ให้ลองนึกดูว่าจริงๆแล้วคนนี้เป็นคนที่ จริงๆแล้วตั้งใจเรียนขนาดไหน หรือเรียนคณะอะไร กี่หน่วย แล้วลองนึกดูว่าหนักขนาดไหน แต่ความจริง นศ แทบทุกคน หรือทุกคณะ คงไม่มีใคร ใช้เวลา เรียนหรืออ่านหนังสือ หรือทำรายงานตลอด เพราะ นศ ทุกคณะ ก็ต้องมีช่วง เวลา อื่นๆ เช่น ชมรม ทำกิจกรรมต่างๆ หรือเวลา เที่ยวเล่น ทั่วไป แม้แต่อยู่กับแฟน หรือเพื่อน เหล่านี้ เป็นเวลาที่ นศ ทุกคนต้องมีทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ว่าจะมากหรือน้อยแล้วแต่คน เพราะฉะนั้น การที่นศ บอกว่าไม่มีเวลา หรือติดเรียน แล้วจะไม่ทำ เกือบ 100% คือข้ออ้างในการไม่อยากทำทั้งสิ้น เพราะ จากประสบการณ์ ที่เจอมา เคยเห็น นศ ที่อยู่คณะที่เรียนหนักๆ ยุ่งๆ ยังเข้ามาทำแล้วทำได้ แต่บางคนเรียนไม่หนักแต่ก็ไม่ทำ หรือทำแต่ก็ ไม่ได้อะไรมากแล้วก็บอกยุ่ง จริงๆแล้วคงขึ้นอยู่กับรายบุคคลมากกว่า ดังนั้นเราควรพูดหรืออธิบายในส่วนของเหตุผล ที่ทำไมนศ ถึงต้องทำธุรกิจเครือข่าย หรือพูดว่า งานที่ทำนี้ให้อะไรมากกว่า การมานั่งตอบเรื่องไม่มีเวลา
แต่ถ้าเกิดต้องการให้เค้าเข้าใจเรื่องการใช้เวลาในบางคนที่กังวลเรื่องเวลาจริงๆ เราอาจให้มุมมองเหล่านี้ ในเรื่องของเวลาได้ เช่น
1)งานๆ นี้คือการสร้างเครือข่าย สิ่งที่ต้องใช้ในการสร้างเครือข่าย คือ ติดต่อสื่อสาร เวลา ความรู้ ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆ เรา ขอแค่ให้คุณ ใช้เวลา 2-3 นาที กับการติดต่อใครบางคน แล้ว ผมจะเป็น คนใช้ ความรู้ และเวลาของผมช่วยคุณเอง ก็เป็นมุมมองที่อธิบายได้ ว่างานนี้ถ้าเค้าอยากทำจริงแต่ไม่มีเวลาให้เค้านัดเพื่อนของเค้าและเราจะไปช่วย คุยให้เอง
2)วันนี้คุณอาจใช้เวลาในการทำงานนี้ซักวันละ 2-3 ชม ของคุณคนเดียว ถ้าคุณสามารถ แนะนำเพื่อนได้ ซัก 2-3 คนที่ ใช้เวลาวันละ 2-3 ชม แบบคุณ เท่ากับว่าตอนนี้ใน 1 วันธุรกิจของคุณมีการทำงานเกิดขึ้นถึงวันละ 4-12 ชม รวมคุณเองด้วยแล้วถ้าเกิดคุณมีเครือข่ายที่ทำงาน 100 คน แต่ละวันคุณจะได้เวลาในการทำงานขนาดไหน อาจลองยกตัวอย่างของบุคคลที่มีเครือข่ายหลายๆคน แล้วเล่า ว่าเค้าก็มีเวลาในแต่ละวัน 24 ชม เท่าเรา แหละเราก็เชื่อว่า เค้าคงไม่ได้ใช่เวลาทำธุรกิจทั้ง 24 ชม แต่ปัจจุบันเค้ามีเครือข่าย 10,000 กว่าคน เอาแค่มีซัก 2,000 คนที่ทำก็พอ และทำแค่วันละ 1 ชม เท่ากับว่า 1 วันเค้าได้เวลาทำงาน 2,000 ชมแล้ว ซึ่งหากเราทำงานทั่วไป คนเดียวกว่าจะใช้เวลาทำงานให้ได้ 2,000 ชม คงใช้เวลาเป็นปีถึงจะเท่ากับเค้า ทำงาน 1 วัน ซึ่งวันนี้ถึงแม้บางวันเค้าไม่ทำอะไร ธุรกิจเค้าก็ยังมีงานเกิดขึ้นและเกิดรายได้ขึ้นตลอด(แต่ต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าคนที่ทำเค้าก็มีรายได้ของเค้า ไม่มีใครทำงานให้ใครถ้าไม่พูดเค้าอาจคิดในใจว่าชวนเค้ามาทำงานให้เรา และบอกต่อด้วยว่าถึงมาทีหลังถ้าทำมากกว่าก็ได้รายได้มากกว่าได้) นี้แหละคือข้อดีของ ธุรกิจเครือข่าย เรียกว่าเหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร
3)อธิบายเปรียบเทียบไปตรงๆ เลยว่าจริงๆแล้ว คนเราจะมีเวลาทำหรือไม่ทำอะไร ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่จะทำคุ้มหรือไม่คุ้ม เราอยากให้คุณลองฟังดูว่าธุรกิจนี้ มันดียังงัย แล้วคุณค่อยดูว่ามันจะคุ้มกับเวลาที่คุณจะใช้หรือเปล่าถ้ามันดีจริงผมเชื่อว่าคุณเองก็คงจัดเวลาได้
4)อธิบายตามตำราเรื่องเวลา ในลักษณะนี้ก็ได้เรื่อง 8 8 8 บอกว่าคนเราปกติมีเวลา วันละ 24 ชม ทำงาน/ เรียน 8 ชม พักผ่อน 8 ชม แล้วอีก 8 ชม ใช้ทำอะไร เราเคยอ่านหนังสือเจอเค้าบอกว่า คนเราจะมีชีวิตที่ต่างกันขึ้นอยู่กับ การใช้ เวลา 8 ชม ที่เหลือนี่แหละ บางคนใช้ เที่ยว เล่นไปวันๆ บางคนใช้ศึกษา พัฒนา ตัวเอง บางคนใช้ทำงานพิเศษ หารายได้เป็นราย ชม บางคนใช้ทำธุรกิจต่างๆเพิ่มเติม วันนี้เราอยากให้นายลองจัดเวลาที่เหลือ 8 ชม แบ่งมาลองทำธุรกิจนี้ ร่วมกันกับเรา เราว่ามันดีมาก แล้วก็ค่อยบอกว่าธุรกิจดีอย่างไร
ก็ลองหยิบยกมุมมอง เหล่านี้ไปลองใช้ คุยกับเพื่อนๆได้ในคนที่ติดปัญหาหรือมีมุมมองที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับ เรื่องเวลาในการทำธุรกิจ
ปล. แต่ก็อาจมีบางคนที่ติดเรื่องเวลาจริงๆเป็นช่วง เวลาระยะนึงเช่น ช่วงใกล้สอบ ติดงาน Project ใหญ่ ช่วงที่งานประจำกำลังยุ่ง ถ้าติดจริงก็ควรเลื่อนการคุยไปก่อน จะได้ไม่เสียโอกาสกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่ก็ควรถามให้รู้หน่อยว่าแล้วเค้าจะใช้เวลาช่วงนี้อีกนานขนาดไหน อาจจะ 1-2 สัปดาห์ (ช่วงสอบ) หรือ 1 เดือน (Project หรืองานใหญ่ต่างๆ) แล้วเราก็บอกว่าได้ หลังช่วงนี้เราค่อยนัดคุยรายละเอียดกันอีกครั้งนึง แต่ถ้าเค้าบอกว่ากว่าจะหายยุ่งก็ยังไม่มีเวลากำหนด หรือเกิน 2 เดือนขึ้นไปหรือเดี๋ยวว่างแล้วจะโทรติดต่อไปบอกเอง ก็ให้คิดเผื่อแล้วว่าคนๆนี้คงไม่สนใจแล้วก็คงบอกผลัดๆ ไปก่อน ก็อย่าไปเชื่อหรือรอคนๆนี้เลย ไปหาคนอื่นดีกว่า
***จำไว้เลยนะครับว่าถ้ามีการพูดว่า ถ้าสนใจแล้วจะติดต่อมาเอง ขอให้แปลเองเลยว่า ไม่สนใจครับ ผมทำมา 5 ปี เจอคนพูดอย่างนี้มาเยอะมาก ยังไม่เห็นมีใครติดต่อกลับมาเองเลยซักคนเลยครับ
2.พูดไม่เก่ง ไม่ถนัด หรือพูดในลักษณะที่ว่าไม่มีความสามารถพอ กลัวที่จะทำไม่ได้
เป็นอีกข้ออ้าง(โต้แย้ง) นึงที่ใช้ง่ายๆ ในการปฏิเสธ คือออกตัวก่อนเลยประมาณว่า ไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ เช่น พูดไม่เก่ง ไม่ถนัด อะไรทำนองนี้ ลองคิดในมุมมองนี้ดูก่อนนะครับว่า ปกติเวลาเราจะไปสมัครงานที่เรา อยากทำ เมื่อมีคนมาสัมภาษณ์ เราว่า สามารถ ใช้ com ได้หรือเปล่า พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ขับรถได้ไหม อยู่ล่วงเวลาได้หรือเปล่า ไม่ว่าถามถึงเรื่องอะไรเราก็มักจะตอบว่าได้เสมอ ถึงแม้ว่าบางอย่างจริงๆแล้วเรายังทำไม่ได้เลยเราก็ตอบว่าได้ๆ ไปก่อน แล้วก็คิดว่าจะไป ฝึกฝนเรียนรู้กันอีกทีนึง จริงไหมครับ เหตุผลที่เราตอบแบบนั้นเพราะเราอยากได้งานนั้น เราอยากที่จะทำงานนั้น แล้วเราก็รู้ว่าตัวเราสามารถฝึกฝนเรียนรู้ได้ แต่แล้วพอมาเป็นธุรกิจเครือข่ายเวลาเราไปชวนเพื่อน การที่เค้าตอบปฏิเสธว่าเค้าไม่มีความสามารถ เป็นเพราะเค้าไม่อยากที่จะทำธุรกิจนี้จริงไหมครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำก่อนตอบเรื่องนี้คือ ทำให้เค้าเข้าใจว่าธุรกิจนี้ดีกับเค้าอย่างไร แล้วเมื่อเค้าอยากทำสิ่งเหล่านั้นจะหายไปเอง
แต่ถ้าจะให้ตอบจริงๆ เราก็บอกเพื่อนๆไปว่าจริงๆแล้วธุรกิจนี้ เราไม่ต้องการคนพูดเก่งหรอก แต่เราต้องการคนที่สามารถเรียนรู้เรื่องธุรกิจและ สามารถนำไปเล่าต่อให้เพื่อนๆฟังได้ ต่อให้เราจะเป็นคนที่พูดเก่งอย่างไร แต่ให้เราไปพูดในสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน ไม่มีความรู้เราก็คงไม่สามารถที่จะพูดได้ แต่ถึงเราจะเป็นคนที่พูดไม่เก่งเลย แต่ให้เราพูดเรื่องที่เรารู้เราถนัดเราก็สามารถพูดได้ ตัวอย่างเช่น มีชาวนาที่พูดไม่เก่ง และไม่ได้เรียนหนังสือเลยคนนึง แต่ถ้าให้เขามาพูดถึงเรื่อง เกี่ยวกับการปลูกข้าวคิดว่าเค้าจะพูดหรืออธิบายได้หรือเปล่า? ได้จริงไหมครับ แต่ ถ้าให้วิศวกร com ที่พูดเก่งมาพูดเรื่องการปลูกข้าว เค้าก็อาจพูดไม่ได้ถ้าเค้าไม่เคยได้ศึกษาและปฏิบัติมาก่อนเพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับพูดเก่ง หรือพูดไม่เก่ง ถนัดหรือไม่ถนัด เพราะคนที่เริ่มทำธุรกิจนี้ทุกๆคนก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่หมดเหมือนกัน และในระบบธุรกิจเราก็จะมีการเรียนการสอน เหมือนกับเป็นอีกหนึ่งอาชีพนึงที่คนที่จะเข้ามาจะทำให้สำเร็จก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้ในธุรกิจนี้กันก่อน
สุดท้ายอาจมีการให้ดูภาพคนสำเร็จ แล้วให้ดูถึงคนที่มีศักยภาพด้อยกว่าเค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การศึกษา ความรู้ ฐานะ หรือวัย ต่างๆว่าถ้าพวกเค้าสามารถทำได้ เราก็น่าที่จะทำได้เหมือนกัน
3.ไม่ชอบงานขาย ไม่ชอบง้อคน ไม่ชอบติดต่อผู้คน หรือสรุปไม่ชอบงานแนวนี้
ข้อโต้แย้งนี้ถ้าให้วิเคราะห์กันจริงๆแล้ว คือดูเหมือนว่าจะไม่ชอบที่ลักษณะของงานที่ทำ แต่ถ้าให้ดูกันจริงๆแล้วคนที่พูดว่าเค้าไม่ชอบงานที่ทำนี้ก็จริง แต่ความจริงเค้าไม่ชอบตรงวิธีการได้รายได้มากกว่า หมายถึง ก่อนฟังเค้าก็พอรู้แล้วว่า งานแบบนี้มันมีการจ่ายรายได้แบบไหน แน่นอนครับคนส่วนมากรู้ว่างานแบบเครือข่ายหรือขายตรงนั้น การจ่ายรายได้ไม่ได้เป็นการจ่ายแบบ เงินเดือนประจำ คนส่วนมากมักคิดว่าตัวเองไม่ชอบเลยทำไม่ได้ ก็เลยไม่อยากเสียเวลาทำ แล้วก็จะไม่ได้รายได้นั่นเองก็เลยปฏิเสธก่อนเลย แต่ถ้าลองเปลี่ยนใหม่คุณลองบอกคนที่ชวนว่าเนื้องานทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แต่งานนี้ Start เงินเดือนที่ 35,000 บาทไม่รวม โบนัสที่พูดมาทุกข้อนะ และจะมีการอบรมให้ก่อน 2 เดือน ในช่วงอบรมนี้จะมีเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 1,500 บาทด้วย คุณว่าเพื่อนคุณ จะทำไหมครับ ทำชัวร์ เพราะเค้ารู้ว่ายังงัยก็ได้เงินแน่ๆ เมื่อครบเดือน เหมือนงานประจำทั่วๆไปงัยครับ ถึงตรงนี้อยากให้แนวคิดว่า คนส่วนมากชอบความแน่นอน ไม่ชอบความเสี่ยง คนส่วนมากเลยเลือกลักษณะของการรับเงินในรูปแบบของเงินเดือน ที่จ่ายแน่นอนมากกว่าที่จะรับรายได้ที่ขึ้นตามผลงานหรือความสามารถ จากประสบการณ์ผมเคยเห็นคนหลายคนมาก ที่ตอนแรกก่อนทำบอกไม่ชอบขาย ไม่รู้จะขายใคร แต่พอได้ฟังธุรกิจแล้วเห็นถึงความคุ้มของธุรกิจ และได้ลองใช้สินค้าแล้วเห็นผล เค้าคนนั่นกลับมียอดขายที่มหาศาล และกลายเป็นคนที่ชอบแนะนำสินค้ามากกว่าใครอื่นอีก เพียงเพราะเค้าได้เข้าใจในเรื่องราวของธุรกิจและสินค้าเท่านั่นเอง โดยที่เราไม่เคยต้อง Clear เค้าเรื่องการขายหรือไม่ขายเลย
อีกมุมมองนึง ลองสมมติ งานงานนึงขึ้นมาเรื่อง บริษัท X กับ บริษัท Y ที่ให้ทำงานเหมือนกัน บริษัท X ให้เงินวันละ 100,000 ทุกวันให้ทำ 30 วัน รวมก็จะได้ 3,000,000 บาท แต่ บริษัท Y ให้วันละ 1 บาท แต่วันต่อมาจะให้เป็น 2 เท่า ก็คือ 2 บาท ต่อมาเป็น 4 บาทขึ้นมาเรื่อยๆ 30 วัน จะเลือกบริษัทไหน ถ้าถามแบบนี้คนส่วนมากกว่า 90% จะเลือก บริษัท X เพราะเค้ารู้แน่ๆ ว่าจะได้ 3,000,000 บาทใน 30 วัน แต่บริษัท Y เค้าดูไม่ออกว่าเริ่มจาก 1 เป็น 2 เป็น 4 8 16 32 แค่ 30 วัน จะได้แค่ไหนเชียวคงไม่เกิน 3 ล้าน แต่ความเป็นจริง เฉพาะวันที่ 30 ก็ได้ ประมาณ 500 กว่าล้านแล้ว ถ้ารวมกันทั้งหมด 30 วัน ก็จะได้ประมาณ 1000 ล้าน(ไม่เชื่อลองคิดเองดู) มากกว่า บริษัท X ไม่รู้กี่เท่า ถ้าเป็นในชีวิตจริงเราเลือกบริษัท X และมารู้ที่หลังว่าบริษัท Y ทำครบ 30 วันได้ 1000 ล้าน เราคงเสียดายไปจนวันตายจริงไหมครับ แต่วันนี้ความจริงก็เป็นคล้ายๆอย่างนี้แหละครับ การรับรายได้แบบเงินเดือนมันดูแน่นอนกว่าก็จริง แต่สุดท้ายมันก็ไม่เยอะเกินกว่าที่เราคิดหรอกครับ เราเองยังไม่กล้าคิดเลยจริงไหมครับว่าเราต้องทำงานกี่ปีถึงจะได้รายได้ 6 หลัก แต่พอเป็นงานแบบเครือข่ายคุณแค่ไม่มั่นใจตอนแรกเท่านั้นเองว่าคุณจะไม่ได้รายได้จริง แต่พอคุณได้ทำซัก 3-5 เดือน คุณจะชอบการรับรายได้แบบนี้มากกว่า และเริ่มรู้สึกไม่อยากรับรายได้แบบตายตัวแบบเก่าแล้ว เพราะคุณจะเริ่มค้นพบว่าตัวคุณเองมีความสามารถที่จะมีรายได้ตามความสามารถที่คุณมี ไม่ใช่แบบเก่าขยันหรือเก่งก็รับ 15,000 บาท ขี้เกียจก็รับ 15,000 บาท คนเลยเลือกขี้เกียจกันหมดเพราะรู้ว่าทำอย่างไรก็ได้เท่าเดิม และพอคุณได้ใช้เวลาทำธุรกิจซัก 1 ปี ใน คุณจะกล้ามองถึงรายได้ 6 หลัก ซึ่งถ้าเป็นในลักษณะของงานประจำไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลยภายในแค่ 1-2 ปี แล้ววันนี้เราก็มีตัวอย่าง ให้เห็นมากมายหลายคนที่ใช้เวลา 1 ปี ทำรายได้ 6 หลัก และยังมีคนที่รายได้ เกือบ 7 หลัก ในเวลา แค่ 13 เดือนเท่านั้น
ดังนั้นก่อนที่จะตอบข้อโต้แย้งข้อนี้ อยากให้เรารู้ก่อนว่าคนส่วนมาก ที่มีข้อโต้แย้งนี้ จริงๆในใจเค้ามีมุมมองแนวคิดในลักษณะที่กล่าวมา บางคนอาจรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นการทำให้เค้าสบายใจในเรื่องนี้ คือค่อยๆอธิบายถึงรูปแบบการรับรายได้แบบนี้ว่าดีอย่างไร อาจพูดถึงเรื่องการรับรายได้ แบบ Active หรือ Passive Income ให้ฟังและพยายามให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจว่าเค้าก็สามารถทำธุรกิจนี้ได้โดยทำเหมือนเดิมคือ อาจมีการให้ดูภาพคนสำเร็จแล้วให้ดูถึงคนที่มีศักยภาพด้อยกว่าเค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การศึกษา ความรู้ ฐานะ หรือวัย ต่างๆว่าพวกเค้าก็สามารถทำได้ เราก็น่าที่จะทำได้เหมือนกัน ก็จะทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็อาจมีบางกรณี บางคนที่มีความไม่ชอบ ในลักษณะของการขาย การติดต่อกับผู้คนหรือเค้าคิดว่าถ้าทำแล้วต้องง้อคนจริงนอกจากเปรียบเทียบแนวคิดข้างต้นแล้วก็อาจตอบให้ตรงประเด็นได้ประมาณนี้
ในกรณี กลัวการขาย ให้เราเริ่มบอกเค้าก่อนว่าจริงๆ เราเองก็ไม่ชอบขายและก็ขายไม่เก่ง แต่ที่เราทำธุรกิจนี้เพราะจริงๆแล้วการที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้เราไม่จำเป็นต้องขายสินค้า หรือแนะนำสินค้าให้ได้มากๆ เพียงแต่เราแค่เปลี่ยนยี่ห้อสินค้าที่ใช้และเปลี่ยนที่ซื้อเท่านั้น เพราะธุรกิจ เราจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค ซึ่งถึงแม้เราไม่ซื้อของ เราก็ต้องซื้อของยี่ห้ออื่นอยู่แล้ว เพียงแต่การซื้อของยี่ห้ออื่นเราจะไม่มีรายได้กลับคืนมาและถึงเราจะซื้อมากหรือบอกต่อให้คนรู้จักไปซื้อ ก็ไม่เกิดประโยชน์ขึ้นมา ในปัจจุบันการหารายได้เพิ่มเป็นเรื่องสำคัญ การที่แค่ซื้อของ มาดูแลสุขภาพ และสามารถสร้างรายได้เพิ่มได้ เลยเป็นเรื่องที่น่าสนใจ(อาจพูดถึงประโยชน์ของการทำธุรกิจอย่างอื่นเพิ่มเติมไปอีก)
ในกรณี ไม่ชอบการง้อคน เราบอกเลยว่าการที่ทำธุรกิจอย่างนี้แล้วต้องง้อคนนั้น ไม่เกี่ยวว่าต้องเป็นธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจอื่นก็มีเหมือนกัน แต่ความจริงต้องง้อหรือไม่ง้อ น่าจะขึ้นอยู่กับที่ตัวบุคคลมากกว่า วันนี้เราก็ไม่ชอบที่ต้องง้อใคร เหมือนวันนี้ที่เรามาคุยให้คุณฟังเพราะเราว่ามันน่าสนใจมากและอยากชวนจริงๆ ถ้าวันนี้ฟังแล้วคิดว่า Work ก็ทำด้วยกัน ถ้ายังได้ข้อมูลไม่พอ หรือไม่แน่ใจเราอาจลองให้คุณไปดูที่ประชุมกับเราซักครั้งนึง ถ้าไม่ Work หรือไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเราไม่ Serious เลย และเวลาคุณทำธุรกิจนี้ก็ไปบอกเพื่อนอย่างนี้เหมือนกัน คือน่าจะลองฟังดูก่อน ถ้าไม่ชอบไม่เป็นไร ( แต่ถ้า เค้าไม่สนใจจริงๆ หรือ Anti มากก็อย่าไปอะไรมากเลยครับคบเป็นเพื่อนต่อเหมือนเดิมดีกว่าชวนคนอื่นต่อก็ได้ ) เพราะจริงๆในธุรกิจนี้เราต้องการคนเอาจริงและเห็นด้วยกับเราขั้นต้นเพียงแค่ 2-6 คนเท่านั้น ขอเพียงแต่ให้เรามีความอดทนรอคอยคนที่เห็นด้วยจริงๆกับเราใครไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับ คบหาสมาคมเป็นเพื่อนที่ดีกันเหมือนเดิมได้ แล้วเวลาเจอกันก็เน้นคุยเรื่องทั่วๆไปเป็นหลักอย่าเจอทุกครั้งเป็นต้องวกเข้าเรื่องธุรกิจเสมอไว้รอ 3-6 เดือนเราสำเร็จเพิ่มขึ้นค่อยเอาความสำเร็จไปเล่าดีกว่าเค้าอาจจะสนใจก็ได้ที่เห็นเราทำแล้วประสบความสำเร็จได้ เช่นกันแต่อาจมีบางคนบอกว่ารอให้เราทำสำเร็จก่อนแล้วค่อยมาชวน ก็แสดงว่าจริงๆเค้าอาจไม่อยากทำตั้งแต่แรกพอเรากะว่าสำเร็จแล้วจะไปชวนก็อาจมีบางคนทำบางคนก็ยังไม่ทำตรงนี้ก็อย่าไปอะไรมากเลยครับ หาคนอื่นดีกว่า
4.ไม่ค่อยรู้จักใคร ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่รู้จะชวนใคร ไม่รู้จะขายใคร
สำหรับข้อนี้ก่อนอื่นต้องปรับมุมมองที่ตัวเราเองก่อนว่างานๆนี้ ที่เรากำลังจะไปชวนคนอื่นสำหรับเราเองแล้ว เราคิดว่าถ้าเราไปชวนเพื่อนๆเราแล้ว จะเป็นการไปให้หรือไปเอา ไปรบกวนหรือไปช่วยเหลือ ลองนึกง่ายๆ ระหว่างจะเอาเงิน 10,000 ไปให้ใครดีกับไปยืมเงิน 10,000 กับใครดี ถ้าไปให้ มีไม่รู้กี่คนที่อยากให้ อยากช่วยจริงไหมครับ แต่ถ้าไปยืมเงิน กลัวไปหมด ตั้งแต่กลัว เค้าจะไม่ให้ เค้าจะไม่ชอบเรา เค้าจะคิดยังงัยกับเรา สารพัดไปหมด สรุปคือน่าจะนึกยากกว่าการจะไปให้แน่นอน ที่นี้พอเห็นภาพบ้างไหมครับว่า ทำไมบางคนถึงมีคนที่อยากไปเล่า ไปชวนให้ฟังเยอะ ทำไมบางคนถึงไม่ค่อยกล้าชวนใครเท่าไหร่ เพราะอยู่ที่มุมมองที่เรามองครับ
สำหรับตัวเราแล้ว เราลองนึกภาพดูว่าก่อนที่เราจะฟังธุรกิจ ก่อนที่จะรู้ว่าธุรกิจ แผน สินค้าดีอย่างไร เราอาจนึกถึงคนแค่ไม่กี่คน แต่พอได้รับฟังทุกๆอย่างแล้ว เมื่อเรารู้สึกว่ามันดีจริงๆ ทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ในธุรกิจหรือถ้าเกิดได้รับฟังสินค้าแล้วรู้สึกว่ามันดีจริงๆ ทั้งในส่วนของน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว ยิ่งถ้าเกิดได้ฟังหรือได้เห็นผลลัพธ์ จากการใช้ผลิตภัณฑ์ แล้วเราจะยิ่งนึกถึงคนที่เราอยากจะไปแนะนำได้มากขึ้น หรือในกรณีที่เราไปฟังประชุมมาแล้ว เรารู้สึกตื่นเต้นมากๆ รายชื่อเพื่อนๆ ก็จะโผล่เข้ามาในหัวของเรา สรุปว่าเราจะมีรายชื่อมากน้อยขนาดไหน ส่วนนึงก็ขึ้นอยู่กับ ความเชื่อและความตื่นเต้นของเราที่มีต่อธุรกิจด้วย
ที่นี้พอมาในส่วนของ ผู้มุ่งหวังที่เราต้องตอบ การที่เค้ามีข้อโต้แย้งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลจากมุมมองที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือ เค้ามีความคิดว่า การทำธุรกิจนี้คือการไปเอาอะไรจากเพื่อนมากกว่าการที่จะไปให้ เค้าเลยไม่ค่อยกล้าจะไปชวนใคร และยังไม่รู้ว่าสินค้ามันดีอย่างไร ดังนั้นเมื่อเค้าเองยังไม่รู้ว่าธุรกิจนี้ดีอย่างไรเค้าจึงยังไม่รู้ว่าจะไปบอกใครดีเค้าก็เลยบอกว่า ไม่รู้จะชวนใคร หรือขายใคร เมื่อเราได้เล่าเรื่องของธุรกิจนี้ให้ฟังทั้งเรื่อง โอกาสทางธุรกิจ สินค้า เมื่อเค้าฟังจบแล้วตื่นเต้น เค้าก็สามารถที่จะนึกถึงใครบางคนได้ แต่ถ้าเค้ายังนึกถึงใครไม่ค่อยออกจริงๆ ก็อาจแบ่งประเภทของคนที่ให้เค้านึกถึง เช่น คนที่อยากรวย อยากมีรายได้เพิ่ม คนที่มีปัญหาสุขภาพ คนที่อยากมีผิวหน้าที่ดีขึ้น คนที่อยากรักษารูปร่างหรือลดความอ้วน หรือสุดท้ายคนที่เรารู้สึกดีๆและอยากร่วมงานด้วย โดยส่วนตัวตอนที่ผมเริ่มทำธุรกิจใหม่ ผมรู้ว่าในธุรกิจเครือข่ายเมื่อเราประสบความสำเร็จจะมีการเชิญไปสัมมนาที่ต่างประเทศ ผมก็แค่นึกถึงเพื่อนที่ผมอยากให้เค้าไปเที่ยวกับเราด้วยแล้วเราก็ไปชวนคนเหล่านั้นมาทำธุรกิจกับเรา เพราะเราอยากให้เค้าได้ไปเที่ยวกับเราแค่นั้นเอง
อีกกรณีนึงคือ เค้าอาจมีเพื่อนน้อยจริงๆ และเค้าอาจคิดว่าจริงๆการที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจต้องรู้จักคนมากๆถึงจะได้เปรียบ ดังนั้นเราต้องอธิบายให้เค้าได้รู้ว่าจริงๆแล้วการประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายคือการที่ต้องสร้างเครือข่ายจำนวนมากก็จริงแต่เครือข่ายเหล่านั้น อาจเกิดมาจากการที่เราชวนคนที่เรารู้จักจริงๆแค่ไม่กี่คน อาจประมาณ 10-20 คนที่เราชวนเองจริงๆและ จากแผนธุรกิจนี้เราก็ต้องการคนที่ตั้งใจทำจริงๆ กับเราในเบื้องต้น เพียง 2-6 คน แต่คนเหล่านี้ ก็จะมีเพื่อนอีกคนละ 10-20 คน รวมๆกันก็จะเกิดเครือข่ายที่มหาศาลได้ โดยมี Concept ที่ว่าเราต้องการให้มีเครือข่ายมากๆ ซื้อสินค้ากันคนละน้อย ดีกว่ามีคนน้อยๆ แต่ซื้อสินค้าคนละมากๆ
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว ผมคิดว่าถ้าใครที่รู้ว่า ธุรกิจนี้ดี แล้วอยากทำอยากใช้สินค้าก็จะนึกถึงเพื่อนๆได้ทุกคนครับ ถ้าใครที่คุณอธิบายทั้งหมดนี้ให้เค้าฟังแล้วเค้ายังบอกไม่รู้จะชวนใครอีก ก็ปล่อยไปดีกว่าแสดงว่าเค้าคงไม่อยากทำจริงๆ ไปหาคนอื่นที่มีความฝัน ความหวังดีกว่า
5. คนทางบ้าน(พ่อ แม่ แฟน ครอบครัว)ไม่เห็นด้วย ไม่ให้ทำ
เมื่อเจอใครที่พูดแบบนี้ สิ่งที่ต้องรู้อย่างแรกก่อนเลยคือ แล้วจริงๆ คนที่พูดอยากทำจริงหรือเปล่า และถ้าอยากทำ อยากทำมากน้อยขนาดไหน และอยากทำธุรกิจเครือข่ายไปเพื่ออะไร ลองถามถึงเหตุผลเหล่านี้ก่อนที่จะตอบหรืออธิบายมุมมองเกี่ยวกับข้อโต้แย้งนี้ เพราะก็มีหลายๆคนจริงๆก็ไม่ได้อยากทำอะไรมาก พอลองไปปรึกษาคนทางบ้าน แล้วเค้าไม่ให้ทำก็เลยขี้เกียจเรื่องมาก ขี้เกียจทำเลย (อาจคิดในใจก็ได้ว่าดีเหมือนกัน ก็ขี้เกียจทำอยู่เหมือนกัน) ถึงเราอธิบายมุมมองให้ทำหรือให้พูดอย่างไรกับคนที่บ้านเค้าก็อาจตอบว่าเราไม่อยาก ขัดใจ หรือโกหก คนทางบ้าน จริงๆแล้ว มีอะไรตั้งหลายอย่างที่ จริงๆ เราก็รู้ว่าทางบ้านไม่อยากให้ทำแต่เราก็ยังทำ ทั้งๆที่บางเรื่องไม่ต้องถามใครก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมเช่น นศ หลายคนก็รู้ว่า การโดดเรียน กินเหล้า เที่ยว เกเร หรือติดยาเสพติดเป็นสิ่งที่ไม่ดี และก็รู้ว่าทางบ้านไม่เห็นด้วยแต่เราก็ยังทำ ยังแอบทำ เพราะคงไม่มีใครปรึกษากับทางบ้านก่อนว่าสิ่งเหล่านี้ดีหรือเปล่าให้ทำไหม? แล้วทำไมเรายังทำก็ง่ายๆเพราะว่าเราอยากที่จะทำสิ่งเหล่านี้มากนั่นเอง เราถึงหาหนทางทำโดยไม่ให้ใครรู้ได้งัยครับ ทั้งๆที่รู้ว่าจริงๆ เป็นสิ่งไม่ดีเรายังแอบทำ ทีนี้ธุรกิจเครือข่าย เรารู้ว่าเป็นการทำงาน เป็นสิ่งที่ดีถ้าจะแอบทำยังน่าที่จะแอบทำมากกว่า แต่อธิบายอย่างนี้ไม่ใช่จะสนับสนุน ให้โกหก หรือปิดบังคนทางบ้านนะครับ แต่การที่เค้าไม่ให้ทำ เพราะเค้าอาจไม่เข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ การที่พ่อ แม่ไม่ให้ นศ ทำ เพราะเค้าอาจมองงานเครือข่ายไม่น่าสนใจ เลยไม่อยากให้ทำเพราะกลัวเราจะเสียการเรียนด้วย แต่ถ้าวันนี้เราขอทำงานพิเศษ อย่างอื่น เช่น สอนพิเศษรุ่นน้องคิดว่าเค้าจะให้ทำไหม? น่าจะให้ทำเพราะว่ามันดูดีกว่าการที่ไปทำเครือข่ายมากในความคิดของเค้า เค้าก็จะไม่กังวลเรื่องเสียการเรียน เพราะฉะนั้นการที่ผู้ปกครองของหลายคนไม่อยากให้ทำเพราะเสียการเรียนความจริงคือท่านมองว่า งานเครือข่ายไม่น่าสนใจมากกว่าเลยไม่อยากให้เราไปทำ
ส่วนถ้าเป็นแฟน ไม่เห็นด้วย ก็ดูว่าในกรณีนี้แต่งงานกันหรือยัง ถ้าแต่งแล้วก็คงต้องพยายามอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า จริงๆธุรกิจนี้เป็นอย่างไร เรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะในธุรกิจนี้เมื่อทำไปต้องมีการประชุมเรียนรู้ที่ Center อาจมีการกลับบ้านดึกได้ การที่แฟนเราไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่แล้วกลับบ้านดึกก็อาจที่จะเกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้นค่อยๆอธิบายให้เข้าใจ และพยายามใช้เวลาที่มีรีบทำให้สำเร็จ เพราะถ้าแฟนเราเห็นว่าเวลาที่เราใช้ไปในการทำธุรกิจ แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ เค้าก็จะเข้าใจและยอมรับได้ง่ายขึ้น
ในกรณีที่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือ อยู่ในช่วงที่กำลังคบหาดูๆกันอยู่ อยากให้ลองมองก่อนว่า ทำไมเค้าถึงไม่ให้ทำ เป็นเพราะเค้าไม่เข้าใจงานเครือข่าย หรือไม่อยากให้เราทำงาน หรือมองว่าการหารายได้เพิ่มเป็นเรื่องไร้สาระ หรืออยากให้เราอยู่กับเค้าตลอดไม่อยากให้ทำอะไร แล้วลองมาพิจารณาว่า มันมีเหตุผลที่เพียงพอหรือเปล่าในการที่จะไม่ทำ แล้วถ้าจะอธิบายให้เข้าใจแล้วเค้าพร้อมจะยอมฟังหรือเปล่า ถ้าไม่ยอมรับฟังหรือไม่มีเหตุผลเลย ก็ให้ลองมาชั่งน้ำหนักดูว่าแล้วจริงๆเราอยากทำธุรกิจนี้เพื่ออะไร เหตุผลที่เราอยากทำธุรกิจนี้จะเป็นตัวบอกเราเองว่าจริงๆแล้วเราควรจะทำอะไรต่อ ระหว่างไม่ทำธุรกิจเพื่อแฟนเรา หรือไม่เชื่อแฟนและเลือกสิ่งที่เราต้องการในอนาคตแล้วทำธุรกิจต่อ ถ้าเหตุผลที่เราอยากทำธุรกิจไม่มีอะไรมากแค่ทำเล่นๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากอยู่กับแฟนดีกว่าจะได้ไม่ต้องมีปัญหากัน แต่ถ้ามีเหตุผลทำเพื่ออนาคต เช่น ทำเพื่อ พ่อแม่ ครอบครัวของเรา หรือมีความใฝ่ฝันอะไรบางอย่าง ก็ไม่เห็นต้องคิดมากเหมือนกัน เลือกครอบครัว เลือกอนาคตของตัวเองดีกว่าที่จะมายอมเสียคนแค่คนเดียว
ปล. ไม่อยากแนะนำหรือส่งเสริมให้ ต้องมีการเลิกรากันระหว่างคน 2 คนเพราะต้องทำธุรกิจนี้นะครับ แต่อยากให้ไตร่ตรองดูดีๆ ทั้ง 2 เรื่อง คือเรื่องธุรกิจ และเรื่องคู่ของเราด้วย ว่าจริงๆคนนี้ ที่มีความคิดอย่างที่เค้าเป็นอย่างนี้ ใช่หรือเปล่าคนที่เราจะฝากชีวิตหรืออนาคตไว้ด้วย ถ้าคู่ของเราเค้าไม่ชอบงานเครือข่ายและไม่อยากให้เราทำจริงๆแต่มีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องอนาคตที่ดี และทำอย่างที่คิด ที่พูดได้ด้วย เพียงแต่ไม่ชอบงานเครือข่ายและไม่อยากให้เราทำ ก็อย่าขัดใจกันเลยครับ ทำแล้วต่างคนต่างอึดอัดอยู่ด้วยกันดีกว่า แต่ถ้าเกิดไปเจอคนที่ไม่คิดอะไรกับชีวิตเลยอยู่แบบเรื่อยๆไปวันๆ ไม่เคยมองเรื่องอนาคต หรือเป็นเจ้า Project อยากทำนู้นทำนี้เต็มไปหมด แต่ได้แต่พูดไม่เคยทำอะไรเลยเรียกว่าดีแต่พูดแล้วยังมารั้งไม่ให้เราทำอีก อย่างนี้ก็ต้องคิดดีๆแล้วละครับว่า อะไรถูกอะไรควร คนเราไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะ ความชอบความรักอย่างเดียว มันต้องมีความคิดความก้าวหน้าในชีวิตคู่ด้วย เพราะเห็นมาหลายคู่แล้วที่ คู่ไม่ให้ทำแล้วก็ไม่ทำ สุดท้ายไม่นานก็เลิกกันอยู่ดีเพราะความคิดไม่ตรงกันกลายเป็นเสียทั้ง 2 อย่างทั้งโอกาสทางธุรกิจ และเสียคู่อยู่ดี เพราะฉะนั้น เรื่องนี้คิดตัดสินใจกันให้ดีๆนะครับ สำคัญคือเวลาตัดสินใจอย่ามองแค่วันนี้หรือปัจจุบัน ให้มองเผื่อวันหน้าหรืออนาคตด้วย ชีวิตยังอีกยาวครับ